สุขภาพ

กรกฎาคม 24, 2025
น้ำเกลือล้างจมูก ภูมิแพ้เด็ก

น้ำเกลือล้างจมูก: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับการดูแลสุขภาพจมูก

ดูแลสุขภาพร่างกายด้วยการใช้น้ำเกลือล้างจมูก สุขภาพร่างกายของผู้คนในปัจจุบันได้รับความเสี่ยง ทั้งต่อฝุ่นละออง สิ่งสกปรก และเชื้อโรคต่าง ๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายนั้นทำงานอย่างแข็งขันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากนำไปสู่ความเหนื่อยล้าจะส่งผลกระทบต่อการป้องกันเชื้อโรค จึงควรมีแนวทางการดูแลร่างกายที่เริ่มต้นและควบคุมได้ด้วยตัวเรา เพื่อสร้างเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย การสร้างเสริมร่างกายที่เริ่มต้นและควบคุมได้ในปัจจุบัมีหลากหลายยิ่งขึ้น รวมถึงการล้างจมูก เพื่อให้สุขภาพจมูกต่อสู่กับมลพิษและเชื้อโรค ไข้หวัดต่าง ๆ ซึ่งน้ำเกลือมักถูกใช้ เพื่อทำความสะอาดบาดแผลและอาการบาดเจ็บบริเวณผิวหนัง แต่น้ำเกลือบางชนิด เช่น นำเกลือปราศจากเชื้อ มีสรรพคุณพิเศษมากมาย จนสามารถนำมาใช้ล้างจมูกได้ เนื่องจากมีความอ่อนโยน จึงเหมาะกับการทำความสะอาดอวัยวะที่อ่อนไหวง่าย เช่น ดวงตา หู และจมูก ซึ่งการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือนั้นช่วยมีป้องกันร่างกายของจากสภาวะต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยมลพิษและเชื้อโรค เพื่อให้ร่างกายของเราปราศจากสิ่งสกปรกที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย ไปจนถึงมีสุขภาพจมูกที่ดีด้วยการดูแลง่าย ๆ    อุปกรณ์จำเป็นสำหรับการใช้น้ำเกลือล้างจมูก  ก่อนการล้างจมูกให้สะอาด ถูกต้อง และมีความปลอดภัย ควรมีเลือกซื้อและเตรียมอุปกรณ์เหล่านี้ เพื่อให้การล้างจมูกควบคู่กับน้ำเกลือนั้นมีประสิทธิภาพ จนเกิดประโยชน์สูงสุดกับสุขภาพจมูก 1.น้ำเกลือล้างจมูก การเลือกใช้น้ำเกลือ เพื่อล้างจมูกนั้นควรเลือกที่ปราศจากเชื้อโซเดียมคลอไรด์ ( Sodium cloride) ที่มีความเข้มข้นเพียง 0.9 จึงไม่สร้างความระคายเคืองให้แก่ผิวหนังหรืออวัยวะต่าง ๆ  2.ขวดล้างจมูก  ขวดล้างจมูกที่หาซื้อได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อและร้านขายยาเป็นอุปกรณ์จำเป็นในการล้างจมูก ด้วยการใช้ขวดดังกล่าวควบคู่กับน้ำเกลือ แล้วสอดเข้าไปในโพรงจมูก เพื่อให้การทำความสะอาดนั้นทั่วถึงและปลอดภัย  ขวดล้างจมูก GHP Nasi CareNasal Washer ขวดขนาด 300 มล. 3.หลอดฉีดยา หากคุณไม่สามารถหาซื้อขวดล้างจมูกหรือไม่สะดวกใจสามารถเลือกใช้หลอดฉีดยาแทนได้ โดยหลอดฉีดยาที่ไม่มีเข็มจะสามารถควบคุมปริมาณและความดันคุมไม่ได้ระหว่างการใช้น้ำเกลือล้างจมูก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะในทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 4.Neti Pot อุปกรณ์ทำความสะอาดที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถใช้ล้างจมูกได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด และมีรูปลักษณ์พิเศษคล้ายกาน้ำชม ทำให้สามารถกักเก็บน้ำเกลือในปริมาณที่กำหนดได้ด้วยตนเอง  ทริคเล็ก ๆ สำหรับการล้างจมูกที่คุณควรรู้ คือ สามารถเลือกอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งระหว่างขวดบีบล้างจมูก หลอดฉีดยา และ Neti Pot ได้ตามความสะดวก เพื่อไม่ให้อุปกรณ์สร้างความลำบากหรือแรงกดดันจากการใช้คู่กับน้ำเกลือนั่นเอง 5.ผ้าเช็ดหน้า หลังจากล้างจมูกเรียบร้อยแล้ว ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าซับแห้งในทันที เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกตกค้างหลังจากการทำความสะอาดนั้นคงเหลือบนใบหน้า วิธีการและขั้นตอนการใช้น้ำเกลือล้างจมูก  การล้างและทำความสะอาดจมูกจะมีประสิทธิภาพได้ เริ่มต้นจากวิธีการและขั้นตอนที่ถูกต้อง ซึ่งเหล่านี้คือวิธีการและขั้นตอนสำคัญที่ง่ายต่อการปฏิบัติตาม เพื่อให้การใช้น้ำเกลือล้างจมูกนั้นมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด  พร้อมกับทริคเล็ก ๆ ขั้นตอนที่ 1  ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนการล้างจมูก เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากสิ่งสกปรกบนมือ ขั้นตอนที่ 2  เลือกซื้อน้ำเกลือแบบปราศจากเชื้อ โดยน้ำเกลือที่ใช้ล้างจมูกมี 2 รูปแบบ น้ำเกลือแบบพร้อมใช้ มีลักษณะเป็นขวดพร้อมใช้ วางขายทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และห้างสรรพสินค้า ซึ่งน้ำเกลือลักษณะดังกล่าวได้รับความนิยมเพราะสามารถใช้งานได้ทันที สร้างความสะดวกสบาย น้ำเกลือแบบผสมเอง หากคุณต้องการความถูกต้องตามลักษณะอนามัย การเลือกใช้น้ำเกลือแบบผสมเอง ควบคุมความเข้มข้น (tonic)และความสะอาดได้ยาก โดยหาซื้อน้ำเกลือแบบซองควบคู่กับน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว เพื่อให้ได้น้ำเกลือสำหรับการล้างจมูก เพียงแต่มีข้อควรระวัง คือ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำประปา  ขั้นตอนที่ 3  เตรียมอุปกรณ์ทั้งหมดที่กล่าวไว้ข้างต้นให้อยู่ใกล้ตัวและมีความเหมาะสม เพื่อให้การยืนหรือนั่งระหว่างการล้างทำความสะอาดจมูกนั้นถูกต้อง ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ  ขั้นตอนที่ 4  ขั้นตอนการล้างจมุก โดยก้มหน้าเล็กน้อยเหนืออ่างล้างหน้าหรือภาชนะ เอียงศีรษะไปข้างใดข้างหนึ่ง ซ้ายหรือขวา 45 องศา กลั้นหายใจเพื่อให้น้ำเกลือไหลผ่านโพรงจมูกได้อย่างสะดวก แล้วค่อย ๆ ทำความสะอาดโพรงจมูกที่ละข้างด้วยปริมาณน้ำเกลือที่เหมาะสม  ขั้นตอนที่ 5  หลังจากการใช้อุปกรณ์ล้างจมูกทุกครั้งแล้ว ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ เช็ดให้แห้ง และเก็บไว้ในที่สะอาด เพื่อรักษาอุปกรณ์จากเชื้อโรคและความชื้น รวมทั้งสะดวกต่อการใช้ครั้งถัดไป เพียงเท่านี้สิ่งสกปรก ฝุ่น และเศษผงต่าง ๆ ที่ส่งผลเสียต่อจมูกของคุณ จนสร้างการหายใจที่ไม่สะดวกก็จะถูกกำจัดให้หายไป  ข้อควรรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการล้างจมูก แพทย์แนะนำว่าควรมีการล้างจมูกวันละ 1- 2 ครั้งต่อวัน เนื่องจากสภาพอากาศปัจจุบัน แต่หากมีอาการแสบหรือเจ็บจมูกระหว่างการทำความสะอาดนั้น ควรพบปะปรึกษาแพทย์ในทันที  ประโยชน์ของการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ  ด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น พร้อมกับเทคนิคควบคู่กับการใช้น้ำเกลือที่มีคุณภาพ ทำให้การล้างจมูกนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด จนสร้างประโยชน์ให้กับระบบทางเดินหายใจ ดังนี้ 1.ช่วยลดการระคายเคืองในจมูก ทั้งจากภูมิแพ้ ไข้หวัดหรือไซนัสที่มีการอักเสบ 2.ช่วยขจัดสิ่งสกปรก ไม่ว่าจะขนาดเล็กแค่ไหนบริเวณภายในโพรงจมูก น้ำมูก และเชื้อโรค เพื่อให้สามารถหายใจได้สะดวกขึ้น 3.ช่วยชำระคราบของเยื่อบุจมูก หลังการผ่าตัดจมูกหรือผ่าตัดไซนัส 4.ช่วยลดการติดเชื้อที่อาจลุกลามของไปยังบริเวณอื่นๆ 5.ช่วยให้การใช้ยาพ่นจมูกนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อล้างจมูกด้วยน้ำเกลือก่อนพ่นยา โรคทางเดินหายใจป้องกันได้ด้วยการใช้น้ำเกลือล้างจมูก การล้างจมูกนั้นไม่เพียงแค่สร้างความสะอาดให้กับโพรงจมูก เพื่อการหายใจได้คล่องและสะดวกเท่านั้น แต่ความสะอาดหลังการล้างจมูกยังช่วยป้องกันโรคทางเดินระบบหายใจ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อให้สุขภาพจมูกที่ดี ส่งผลดีต่อร่างกายและอวัยวะภายในที่สำคัญอย่างระบบทางเดินหายใจ 1.ป้องกันโรคภูมิแพ้ การล้างจมูกช่วยลดจำนวนเชื้อโรค สารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น ละอองเกสร และขนสัตว์ ภายในจมูกให้ลดน้อยลง ซึ่งช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้จากการขจัดสิ่งเหล่านั้น เพื่อให้จมูกโล่ง ไม่ไอ จาม หรือมีน้ำมูกคั่ง ซึ่งยังช่วยลดการติดเชื้อซ้ำซ้อนอีกด้วย 2.ป้องกันโรคไซนัสอักเสบ โพรงจมูกและบริเวณรูเปิดของไซนัส เมื่อได้รับการทำความสะอาดจากน้ำเกลือจะช่วยขจัดสิ่งตกค้าง ที่ทำให้เกิดการอักเสบในจมูกได้ เพื่อให้เชื้อโรคและของเสียลดน้อยลง โดยไม่ทำร้ายเยื่อบุโพรงจมูก  3.ป้องกันโรคหอบหืด  น้ำเกลือที่มีคุณประโยชน์ในการช่วยล้างจมูกเพื่อขจัดสิ่งสกปรก เพื่อป้องกันเชื้อและลดการอักเสบทางเดินหายใจยังช่วยลดความเสี่ยงโรคหอบหืดทางอ้อมอีกด้วย  4.ป้องกันอาการหายใจติดขัด  การล้างจมูกที่ถูกต้องจะช่วยลดการหายใจติดขัดที่เกิดจากน้ำมูกเหนียวข้น จนเป็นสีเขียว เพื่อให้สามารถหายใจได้สะดวก เนื่องจากช่วยทำความสะอาดคราบน้ำมูกได้อย่างหมดจด การล้างจมูกนั้นมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นในสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นมลพิษและการระบาดของเชื้อโรค จนทำให้ผู้คนมีอาการของไข้หวัดและโควิด จนไม่สามารถหายใจได้สะดวกหรือคล่องตามปกติชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นขั้นตอนการดูแลตัวเองที่เริ่มต้นได้ง่าย ๆ เพื่อให้คุณและครอบครัวปลอดภัย มีสุขภาพจมูกที่ดี น้ำเกลือปราศจากเชื้อจาก GHP ให้การล้างจมูกนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด ได้เรียนรู้ทริคสำคัญในการล้างจมูก และประโยชน์ต่าง ๆ ของน้ำเกลือกันไปแล้ว หากกำลังมองหาน้ำเกลือปราศจากเชื้อเพื่อล้างทำความสะอาดจมูกได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่าด้วยราคาและการซื้อที่หาได้ง่าย จึงขอแนะนำน้ำเกลือปราศจากเชื้อ GHP ที่มีความอ่อนโยนในการทำความสะอาดจมูก ทำความสะอาดแผลสด ทำความสะอาดผิวหนัง ไปจนถึงสามารถใช้ล้างคอนแทคเลนส์ อีกทั้งยังเป็นตัวเลือกอุปกรณ์จำเป็นอย่างน้ำเกลือ ด้วยคุณภาพมาตรฐาน ผ่านการรับรองแพทย์ ทำให้น้ำเกลือ Normal Saline  จาก GHP ใช้ล้างจมูกให้สะอาดได้อย่างปลอดภัย ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ วัยชรา และผู้ที่มีปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจ สามารถหายใจได้อย่างเต็มปอด  อีกทั้งยังหาซื้อได้ง่ายตามร้านทั่วไปทุกพื้นที่ หรือเลือกซื้อผ่านทางแอปซื้อสินค้าออนไลน์ชั้นนำต่าง ๆ เพราะ GHP เชื่อว่าทุกคนควรหายใจได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าอากาศจะเต็มไปด้วยฝุ่นควันและเชื้อโรคก็ตาม หากสามารถป้องกันได้ด้วยการทำความสะอาด จะช่วยให้คุณสามารถรักษาชีวิตและสุขภาพจมูกของตนเองได้ แหล่งข้อมูลและอ้างอิง   น้ำเกลือ GHP ล้างจมูกน้ำเกลือ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลศิริรราช https://www.sikarin.com/health/%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%81#:~:text=%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%86%20%E0%B8%89%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9,%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%87%20%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%81 โรงพยาบาลเปาโล
อ่านเพิ่มเติม
กรกฎาคม 24, 2025

น้ำเกลือทางการแพทย์: ความสำคัญ ประเภท และการใช้งานทางคลินิก

น้ำเกลือทางการแพทย์ถือเป็นหนึ่งในสารละลายพื้นฐานและสำคัญที่สุดที่ใช้ในวงการแพทย์มายาวนาน ด้วยคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับของเหลวในร่างกายมนุษย์ ทำให้น้ำเกลือมีบทบาทสำคัญในการรักษาและฟื้นฟูสมดุลของร่างกายในหลายภาวะ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดน้ำหรือสูญเสียเกลือแร่จากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ท้องเสียรุนแรง อาเจียน หรือเสียเลือดจากอุบัติเหตุ ความสำคัญของน้ำเกลือในวงการแพทย์ การทดแทนน้ำและอิเล็กโทรไลต์: น้ำเกลือทางการแพทย์ช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย เช่น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำจากอาการท้องเสีย อาเจียน หรือมีไข้สูง การรักษาสมดุลของร่างกาย: น้ำเกลือทางการแพทย์มีความเข้มข้นที่เหมาะสมกับร่างกายมนุษย์ ช่วยรักษาความดันออสโมติก (osmotic pressure) และสมดุลของสารน้ำระหว่างเซลล์ ตัวกลางในการนำส่งยา: น้ำเกลือทางการแพทย์เป็นตัวทำละลายและตัวกลางในการนำส่งยาเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะยาที่ให้ทางหลอดเลือดดำ การทำความสะอาดในหัตถการทางการแพทย์: ใช้ในการล้างแผล ชะล้างอวัยวะ หรือทำความสะอาดเครื่องมือทางการแพทย์ การสร้างสภาวะที่เหมาะสมสำหรับเซลล์และเนื้อเยื่อ: น้ำเกลือทางการแพทย์มีคุณสมบัติที่เข้ากันได้กับเซลล์และเนื้อเยื่อมนุษย์ (biocompatible) ทำให้เหมาะกับการใช้ในการรักษาและฟื้นฟูเนื้อเยื่อ ประเภทของน้ำเกลือทางการแพทย์ น้ำเกลือทางการแพทย์เป็นสารละลายที่มีส่วนประกอบหลัก คือโซเดียมคลอไรด์และน้ำ ซึ่งมีหลายประเภทที่ใช้ในสถานการณ์และวัตถุประสงค์ทางการแพทย์แตกต่างกัน โดยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและการใช้งานเฉพาะตัวที่ช่วยรักษาผู้ป่วยในภาวะต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม Normal Saline Solution (NSS) น้ำเกลือทางการแพทย์ NSS หรือน้ำเกลือธรรมดา เป็นสารละลายโซเดียมคลอไรด์ความเข้มข้น 0.9% หรือ 9 กรัมต่อลิตร สารละลายนี้มี osmolarity ประมาณ 308 mOsm/L ซึ่งใกล้เคียงกับพลาสมาในเลือด (285-295 mOsm/L) จึงเรียกว่าสารละลายไอโซโทนิก ใช้เป็นของเหลวทดแทนเมื่อผู้ป่วยขาดน้ำหรือมีภาวะเลือดจาง เช่น ในกรณีท้องเสียรุนแรง หรือภาวะขาดน้ำจากการผ่าตัด น้ำเกลือทางการแพทย์ชนิดนี้สามารถให้ทางหลอดเลือดดำเพื่อเพิ่มปริมาตรเลือดและรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายได้อย่างปลอดภัย แต่หากให้มากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะบวมน้ำหรือกรดเมแทบอลิกได้ หรือจะใช้เจือจางยาสำหรับการให้ทางหลอดเลือดดำ และใช้ในการทำความสะอาดบาดแผลเนื่องจากไม่ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อก็ได้ Ringer’s Lactate Solution (RL) น้ำเกลือทางการแพทย์ที่มีส่วนผสมของเกลือแร่หลายชนิด เช่น โซเดียมคลอไรด์ โพแทสเซียม แคลเซียม และแลคเตต ซึ่งช่วยปรับสมดุลค่ากรดและเบสในร่างกายได้ดีขึ้นกว่าน้ำเกลือธรรมดา เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่สูญเสียของเหลวและแร่ธาตุเหล่านี้จำนวนมาก ทั้งจากการบาดเจ็บหรือผ่าตัดใหญ่ อีกเหตุผลหนึ่งคือการรักษาความสมดุลกรด-เบสในร่างกายเพราะ แลคเตตในสารละลายจะถูกเปลี่ยนเป็นไบคาร์บอเนตในร่างกาย ช่วยลดภาวะกรดเกินในร่างกายได้ Dextrose Solutions สารละลายที่มีน้ำตาลเดกซ์โทรสผสมอยู่ในน้ำหรือในน้ำเกลือทางการแพทย์ โดยทั่วไปมีความเข้มข้น 5% ใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ หรือมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ นอกจากนี้น้ำเกลือทางการแพทย์ชนิดนี้ยังใช้ร่วมกับน้ำเกลือธรรมดาในรูปแบบผสม เช่น 5% Dextrose in NSS เพื่อให้ทั้งพลังงานและเกลือแร่แก่ร่างกาย Hypertonic และ Hypotonic Solutions สารละลายไฮเปอร์โทนิกมีความเข้มข้นสูงของเกลือกว่าเลือด จึงดึงน้ำออกจากเซลล์เข้าสู่หลอดเลือด ทำให้ลดบวมน้ำในสมองหรือเพิ่มความดันเลือด ส่วนสารละลายไฮโปโทนิกมีความเข้มข้นต่ำของเกลือกว่าเลือด ทำให้น้ำเข้าเซลล์มากขึ้น เหมาะกับผู้ป่วยที่ขาดน้ำในเซลล์ แต่ต้องระวังการใช้เพราะอาจทำให้เซลล์บวมน้ำเกินไป การเลือกใช้น้ำเกลือทางการแพทย์ให้เหมาะสมกับผู้ป่วย ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
ผู้ป่วยที่มีสภาวะนี้ แพทย์มักเลือกใช้น้ำเกลือทางการแพทย์ชนิดไอโซโทนิก เช่น Normal Saline Solution (NSS) หรือ Ringer’s Lactate (RL) เพื่อทดแทนของเหลวและเกลือแร่ที่สูญเสียไป โดยน้ำเกลือทางการแพทย์ RL จะเหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูสมดุลกรดเบสด้วย เนื่องจากมีแลคเตตช่วยปรับสมดุลกรดในร่างกาย ภาวะช็อกจากการเสียเลือด (Hemorrhagic Shock)
การให้น้ำเกลือทางการแพทย์ NSS หรือ RL จะช่วยเพิ่มปริมาตรเลือดและรักษาความดันโลหิตให้คงที่ได้อย่างรวดเร็ว น้ำเกลือทางการแพทย์เหล่านี้เป็นสารละลายไอโซโทนิกที่ไม่ทำให้เซลล์บวมน้ำหรือฝ่อลง จึงปลอดภัยในสถานการณ์ฉุกเฉิน ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia)
ในสภาวะนี้ แพทย์จะระมัดระวังการเลือกใช้สารละลายที่มีความเข้มข้นของโซเดียมเหมาะสม โดยอาจจะเลือกใช้น้ำเกลือทางการแพทย์ NSS หรือ 3% NaCl (กรณีรุนแรง) เพื่อเพิ่มระดับโซเดียมในเลือดและป้องกันการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของโซเดียมในเลือดอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ภาวะโซเดียมในเลือดสูง (Hypernatremia)
ผู้ป่วยที่มีสภาวะนี้จำเป็นต้องได้รับน้ำเกลือทางการแพทย์ชนิดไฮโปโทนิก อย่างน้ำเกลือ D5W หรือ 0.45% NaCl โดยน้ำเกลือทางการแพทย์ต้องมีความเข้มข้นต่ำ หรือสารละลายเดกซ์โทรส เพื่อช่วยเจือจางระดับโซเดียมในเลือดและฟื้นฟูสมดุลน้ำในเซลล์ แต่ต้องให้ด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันภาวะเซลล์บวมน้ำเกินไป ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
ผู้ป่วยที่มีสภาวะนี้จะต้องได้รับสารละลายที่มีน้ำตาลเดกซ์โทรสผสม เช่น น้ำเกลือทางการแพทย์ 5% Dextrose in Water (5% D/W) หรือ 5% Dextrose in NSS เพื่อเติมพลังงานและน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว และป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำที่อาจเป็นอันตรายต่อสมอง ภาวะเลือดเป็นกรด (Metabolic Acidosis)
น้ำเกลือทางการแพทย์ RL ถือเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะแลคเตตในสารละลายจะถูกเปลี่ยนเป็นไบคาร์บอเนตในร่างกาย ช่วยปรับสมดุลกรดและเบสให้ดีขึ้น ช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรดได้ การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
ส่วนใหญ่มักเลือกให้น้ำเกลือทางการแพทย์ที่มีเดกซ์โทรสผสม อย่าง 5% Dextrose in NSS หรือ 5% Dextrose in 1/3 NSS เพื่อให้พลังงานและชดเชยของเหลวในร่างกาย เนื่องจากผู้ป่วยอาจงดน้ำงดอาหารก่อนผ่าตัด และช่วยให้การรักษาอื่น ๆ เช่น การให้ยาเป็นไปอย่างสะดวก   การประยุกต์ใช้น้ำเกลือทางการแพทย์  การล้างแผลและทำความสะอาดบาดแผล น้ำเกลือทางการแพทย์ปราศจากเชื้อ NSS ที่มีความเข้มข้น 0.9% เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับใช้ล้างแผล เนื่องจากเป็นสารละลายไอโซโทนิกที่มีความเข้มข้นสมดุลกับน้ำในเซลล์ร่างกาย จึงไม่ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อใหม่ ไม่ก่อให้เกิดความแสบหรือระคายเคืองบริเวณแผล และยังช่วยชะล้างสิ่งปนเปื้อน แบคทีเรีย และเศษสิ่งสกปรกออกจากแผลได้อย่างปลอดภัย น้ำเกลือทางการแพทย์ชนิดนี้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้ออย่างเข้มงวด ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเมื่อใช้ล้างแผล โดยเฉพาะแผลบาดเจ็บทั่วไป แผลถลอก หรือแผลผ่าตัดที่ต้องการการดูแลอย่างอ่อนโยน การล้างจมูกและไซนัส น้ำเกลือทางการแพทย์ที่ใช้ล้างจมูกและไซนัส ต้องเป็นน้ำเกลือ NSS ที่ปราศจากเชื้อ เพราะจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกและเมือกที่อุดตันในโพรงจมูก ทำให้บรรเทาอาการคัดจมูก ลดน้ำมูกไหล ลดการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูกและไซนัส และช่วยลดโอกาสการติดเชื้อในโพรงไซนัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือทางการแพทย์จะช่วยให้ระบบทางเดินหายใจสะอาดขึ้นและทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแสบ การบ้วนปากและการดูแลช่องปาก น้ำเกลือทางการแพทย์ปราศจากเชื้อนับเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก ลดการอักเสบของเหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปาก บรรเทาอาการเจ็บคอ บรรเทาอาการแผลในปาก และช่วยทำความสะอาดช่องปากโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่ออ่อน น้ำเกลือทางการแพทย์ชนิดนี้ไม่ใส่วัตถุกันเสีย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่แพ้สารเคมี และสามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง การใช้ในการล้างตา น้ำเกลือทางการแพทย์ NSS ที่ปราศจากเชื้อ เป็นสารละลายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับใช้ล้างตา เนื่องจากมีความเข้มข้นไอโซโทนิกที่สมดุลกับน้ำตา จึงไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแสบตา ช่วยชะล้างสิ่งแปลกปลอม ฝุ่น หรือสารเคมีที่อาจเข้าตาได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามควรใช้เฉพาะน้ำเกลือทางการแพทย์ปราศจากเชื้อที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้องเท่านั้น ไม่ควรใช้น้ำเกลือที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อหรือทำเอง เพราะอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนและก่อให้เกิดการติดเชื้อในตาได้   สรุป น้ำเกลือทางการแพทย์เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ฟื้นฟูพลังงาน และรองรับการรักษาอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเลือกใช้น้ำเกลือทางการแพทย์ให้เหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติ ข้อบ่งใช้ และข้อควรระวังของน้ำเกลือแต่ละประเภท ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกใช้น้ำเกลือ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่สุด   ข้อมูลอ้างอิง   https://shorturl.at/fu85W https://www.phyathai.com/th/article/2731-%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%86_%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81 https://www.intouchmedicare.com/sodium-hloride-solution-for-intravenous-iv-drip http://medinfo2.psu.ac.th/~webadm/rx/upload_rx_detail/RX_DETAIL_20171214_190557.pdf https://hdmall.co.th/blog/c/saline-solution-types-and-uses/ https://health.kapook.com/view115081.html https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/august-2019/oral-rehydration-salt https://mediprosupply.co.th/blog/detail/iv-set https://www.bedee.com/articles/wellness/saline https://www.anblab.com/2015/12/wound-irrigation-th/ https://shorturl.at/sHhKM https://www.exta.co.th/saline/ https://www.eucerin.co.th/about-skin/basic-skin-knowledge/saline
อ่านเพิ่มเติม
กรกฎาคม 24, 2025
น้ำเกลือ ล้างคอนแทคเลนส์

น้ำเกลือเพื่อสุขภาพประจำวัน: สารพัดประโยชน์ที่คุณควรรู้

น้ำเกลือเป็นสารละลายที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพมาอย่างยาวนาน ด้วยคุณสมบัติที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ มีความอ่อนโยนและปลอดภัยต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันหลายรูปแบบ ทำให้น้ำเกลือกลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการดูแลสุขภาพที่หลายคนอาจมองข้าม บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับน้ำเกลือและประโยชน์มากมายที่มีต่อสุขภาพในชีวิตประจำวัน ความสำคัญของน้ำเกลือในชีวิตประจำวัน น้ำเกลือมีความสำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็นสารละลายที่มีความเข้มข้นของเกลือประมาณ 0.9% ซึ่งใกล้เคียงกับความเข้มข้นของน้ำในร่างกายมนุษย์ จึงมีความอ่อนโยนและปลอดภัยต่อการใช้งานในหลายรูปแบบ น้ำเกลือไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ใช้ล้างแผลเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทที่หลากหลายในการดูแลสุขภาพและรักษาความสะอาดของร่างกาย การทำความสะอาดบาดแผลเล็กน้อย
น้ำเกลือช่วยชะล้างสิ่งสกปรกและเชื้อโรคออกจากแผลโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแสบแผลเหมือนน้ำยาฆ่าเชื้อบางชนิด จึงเหมาะสำหรับใช้ในบ้านเป็นไอเทมเบื้องต้นเมื่อเกิดบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากนี้ น้ำเกลือยังใช้ล้างดวงตาเมื่อมีฝุ่นหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าตาได้อย่างปลอดภัย ช่วยลดอาการระคายเคืองและป้องกันการติดเชื้อในดวงตาได้อีกด้วย การทำความสะอาดช่องปากและลำคอ
การบ้วนปากด้วยน้ำเกลือจะช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก ลดการอักเสบของเหงือกและแผลในช่องปาก ร้อนใน หรือหลังผ่าตัดฟัน รวมถึงบรรเทาอาการเจ็บคอได้อย่างดี จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางช่องปากหรือหลังผ่าตัดฟัน การบรรเทาอาการคัดจมูกและภูมิแพ้
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือจะช่วยชะล้างน้ำมูกและสารก่อภูมิแพ้ที่สะสมอยู่ในโพรงจมูก ลดความเหนียวข้นของน้ำมูก เพิ่มความชุ่มชื้นให้เยื่อบุโพรงจมูก ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้นและลดอาการระคายเคือง นอกจากนี้ยังช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการภูมิแพ้ได้อีกด้วย การช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ
น้ำเกลือมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีการระคายเคืองหรือบาดเจ็บ การใช้น้ำเกลือในการล้างบริเวณที่อักเสบจะช่วยให้เนื้อเยื่อฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ลดอาการบวมและเจ็บปวด ส่งผลให้การรักษาเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ประเภทของน้ำเกลือที่ใช้ในชีวิตประจำวัน น้ำเกลือสำหรับล้างแผล
น้ำเกลือที่มีความเข้มข้น 0.9% (Normal Saline) ซึ่งเทียบเท่ากับความเข้มข้นของเกลือในเลือดมนุษย์ จึงมีความอ่อนโยนและปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อ ใช้สำหรับชะล้างสิ่งสกปรกและเชื้อโรคออกจากบาดแผลเล็กน้อยโดยไม่ทำให้แสบหรือระคายเคือง ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อและส่งเสริมการหายของแผลได้ดี น้ำเกลือบ้วนปาก
น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 0.5 ถึง 1% ใช้สำหรับบ้วนปาก เพื่อช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก ลดการอักเสบของเหงือกและแผลในช่องปาก รวมถึงบรรเทาอาการเจ็บคอ น้ำเกลือบ้วนปากช่วยทำความสะอาดช่องปากอย่างอ่อนโยนและช่วยรักษาสุขอนามัยในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำเกลือล้างจมูก
น้ำเกลือมีทั้งชนิดที่เป็นสารละลายเกลือความเข้มข้น 0.9% เท่ากับความเข้มข้นของน้ำเกลือในร่างกาย ใช้สำหรับล้างทำความสะอาดโพรงจมูก ช่วยชะล้างน้ำมูก สารก่อภูมิแพ้ และเชื้อโรคที่สะสมในโพรงจมูก ลดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และเพิ่มความชุ่มชื้นให้เยื่อบุโพรงจมูก น้ำเกลือล้างจมูกจึงเป็นวิธีการดูแลสุขภาพระบบทางเดินหายใจที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้หรือหวัดได้ดี น้ำเกลือแช่เท้า
น้ำเกลือที่ใช้สำหรับแช่เท้า เพื่อช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้า ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและข้อต่อ รวมถึงช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในบริเวณเท้า น้ำเกลือแช่เท้าช่วยเพิ่มความผ่อนคลายและส่งเสริมสุขภาพผิวบริเวณเท้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับน้ำเกลือในการดูแลสุขภาพ กระบอกล้างจมูก (Neti Pot)
ภาชนะรูปทรงคล้ายกาน้ำที่ออกแบบมาเพื่อใช้ล้างจมูกโดยเฉพาะ วิธีการใช้งานคือเติมน้ำเกลือในอุณหภูมิที่เหมาะสมลงในกระบอก จากนั้นโน้มศีรษะไปข้างหน้าและเอียงไปด้านข้างเล็กน้อย สอดปากกระบอกเข้ารูจมูกข้างบนแล้วให้น้ำเกลือไหลผ่านโพรงจมูกออกทางรูจมูกอีกข้างหนึ่ง กระบวนการนี้ช่วยชะล้างน้ำมูกและสิ่งสกปรกออกจากโพรงจมูกได้อย่างอ่อนโยนและมีประสิทธิภาพ กระบอกล้างจมูกเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ หรือผู้ที่ต้องการล้างจมูกอย่างละเอียด ขวดล้างจมูก
ขวดพลาสติกที่ออกแบบให้สามารถได้อัตโนมัติ เพื่อปล่อยน้ำเกลือเข้าสู่โพรงจมูกได้อย่างสะดวก วิธีใช้งานคือเติมน้ำเกลือ จากนั้นสอดปลายขวดเข้าไปในรูจมูกแล้วให้น้ำเกลือไหลผ่านโพรงจมูกไปยังอีกข้างหนึ่ง ขวดล้างจมูกเหมาะกับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วและสะดวกสบายในการล้างจมูก รวมถึงสามารถควบคุมแรงดันน้ำเกลือได้ง่าย สเปรย์น้ำเกลือ
อุปกรณ์ที่ใช้ฉีดพ่นน้ำเกลือเข้าสู่โพรงจมูกในรูปแบบละอองฝอย สเปรย์น้ำเกลือเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุจมูก ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกจากภูมิแพ้ หวัด หรือหลังการผ่าตัด โดยสเปรย์น้ำเกลือจะช่วยทำความสะอาดสิ่งอุดกั้นในช่องจมูกและลดการระคายเคืองโดยการกดเพื่อให้สเปร์ยออกมาเหมือนการล้างจมูกแบบอื่น   ข้อควรระวังในการใช้น้ำเกลือล้างจมูก ต้องใช้น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นที่เหมาะสม
น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นเหมาะสม คือ Sodium Chloride 0.9% ที่ปราศจากเชื้อเท่านั้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนและลดการระคายเคืองโพรงจมูก ห้ามใช้น้ำเปล่าล้างจมูกเด็ดขาด เพราะน้ำเปล่ามีความเข้มข้นต่างจากน้ำในร่างกาย ทำให้เกิดอาการแสบและระคายเคืองในโพรงจมูก รวมถึงอาจทำให้เกิดการสำลักน้ำได้ง่าย ไม่ควรฉีดน้ำเกลือด้วยแรงดันสูงเกินไป
ในขณะล้างจมูกไม่ควรฉีดน้ำเกลือด้วยอุปกรณ์ล้างจมูกกลุ่มแรงดันเช่น ขวดบีบล้างจมูก สเปรย์น้ำเกลือ แรงดันสูงหรือฉีดน้ำเกลือแรงเกินไป เพราะอาจทำให้เยื่อบุโพรงจมูกเกิดการระคายเคืองหรืออักเสบ และอาจส่งผลเสียต่อโพรงจมูกในระยะยาวได้ หลังล้างจมูกควรสั่งน้ำมูกออกมาเบา ๆ
ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรง ๆ เพราะอาจทำให้เกิดอาการหูอื้อหรือหูชั้นกลางอักเสบได้ นอกจากนี้เมื่อสั่งน้ำมูกไม่ควรอุดรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง แต่ควรสั่งน้ำมูกพร้อมกันทั้งสองข้างเพื่อให้แรงดันน้ำมูกสมดุลและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของหู ล้างอุปกรณ์ล้างจมูกให้สะอาดทุกครั้ง
ควรล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการล้างจมูก รวมถึงทำความสะอาดอุปกรณ์ล้างจมูกทุกครั้งหลังใช้งาน ผึ่งให้แห้ง เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและสิ่งสกปรกที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อน น้ำเกลือกับการดูแลสุขภาพระบบทางเดินหายใจ การดูแลระบบทางเดินหายใจมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่มลพิษทางอากาศและโรคติดเชื้อทางเดินหายใจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น น้ำเกลือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการดูแลระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพระบบทางเดินหายใจได้หลายด้าน ป้องกันการติดเชื้อ
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือที่มีความเข้มข้น 0.9% Sodium Chloride จะช่วยชะล้างน้ำมูก ฝุ่นละออง สารก่อภูมิแพ้ และเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในโพรงจมูกและโพรงไซนัส ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อและอาการอักเสบ การกำจัดสิ่งสกปรกเหล่านี้ออกไปจะช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ทำให้ลดโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความรุนแรงของอาการภูมิแพ้
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือจะช่วยขจัดสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ ที่ติดอยู่ในโพรงจมูกออกไป ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกมีจำนวนสารก่อภูมิแพ้ที่เกาะอยู่ลดลงและมีความชุ่มชื่น ส่งผลให้อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และจามลดลงอย่างชัดเจน บรรเทาอาการไซนัสอักเสบ
น้ำเกลือมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาอาการโดยช่วยชะล้างน้ำมูกและหนองที่คั่งค้างในโพรงไซนัสและโพรงจมูก ทำให้น้ำมูกไหลออกง่ายขึ้น ลดความดันและความเจ็บปวดบริเวณใบหน้าและหัว ส่งผลให้อาการคัดจมูกและหายใจติดขัดดีขึ้น การล้างจมูก ป้องกันโรคภูมิแพ้ วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ฟื้นฟูเยื่อบุโพรงจมูก
การใช้น้ำเกลือช่วยฟื้นฟูเยื่อบุโพรงจมูกให้มีความชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้น ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมผ่านกลไก mucociliary clearance หรือระบบขนกวัดที่ทำหน้าที่ขจัดสารที่ไม่ต้องการออกจากทางเดินหายใจ นอกจากนี้ น้ำเกลือเข้มข้นสูง (ไฮเปอร์โทนิก) ยังมีงานวิจัยสนับสนุนว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเสมหะในผู้ป่วยโรคปอดบางชนิด เช่น ซิสติกไฟโบรซิส และลดอาการคัดจมูกในผู้ป่วยไซนัสอักเสบได้ดีกว่าน้ำเกลือความเข้มข้นปกติ ขวดล้างจมูก GHP Nasi CareNasal Washer ขวดขนาด 300 มล. สรุป น้ำเกลือเป็นสารละลายที่มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดูแลระบบทางเดินหายใจ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นวิธีการดูแลสุขภาพจมูกและไซนัสที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และทำได้ง่ายที่บ้าน ช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ และป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้   ข้อมูลอ้างอิง https://www.intouchmedicare.com/sodium-hloride-solution-for-intravenous-iv-drip https://www.exta.co.th/saline/ https://www.exta.co.th/easy-normal-saline/ https://shorturl.at/KCTHa https://dis.fda.moph.go.th/darabank/quotes-04 https://mediprosupply.co.th/product/category/159/iv-set-guide https://www.rama.mahidol.ac.th/mind/th/innovations/06jun2018-1429 https://www.medparkhospital.com/lifestyles/nasal-irrigation https://shorturl.at/G97eW https://shorturl.at/2NSKz https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/Nasal-Irrigation-another-to-prevent-bacteria-from-entering-the-body https://shorturl.at/NyUPd
อ่านเพิ่มเติม
กรกฎาคม 24, 2025
น้ำเกลือ จากโรงพยาบาลถึงบ้าน

น้ำเกลือ : จากโรงพยาบาลถึงบ้าน – คู่มือฉบับสมบูรณ์ที่ควรรู้

น้ำเกลือเป็นสารละลายที่มีประโยชน์หลากหลายทั้งในด้านการแพทย์ ตลอดจนการใช้งานในครัวเรือน ทั้งช่วยทำความสะอาด กำจัดคราบและกลิ่นไม่พึงประสงค์ รวมถึงช่วยฟื้นฟูเสื้อผ้าและผ้าม่านอย่างปลอดภัยและประหยัด อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการใช้สารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เป็นอย่างดี ซึ่งน้ำเกลือมีหลายประเภท แต่ละประเภทต่างมีส่วนประกอบและความเข้มข้นที่แตกต่างกัน น้ำเกลือทางการแพทย์ น้ำเกลือทางการแพทย์ มีบทบาทสำคัญทั้งในการให้สารน้ำทางเส้นเลือดและการดูแลบาดแผล น้ำเกลือล้างแผล (Normal Saline 0.9%) เป็นตัวช่วยที่ปลอดภัย ไม่ระคายเคือง ใช้ได้กับทุกประเภทของแผล ช่วยให้แผลสะอาด ป้องกันการติดเชื้อ และส่งเสริมการหายของแผลอย่างมีประสิทธิภาพ น้ำเกลือสำหรับให้ทางเส้นเลือด :  น้ำเกลือชนิดที่ให้ผ่านเส้นเลือด (Intravenous Infusion) มีหลายประเภท แต่ละชนิดออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ โดยประเภทที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ 1.น้ำเกลือ NSS ที่มีความเข้มข้น 0.9% Sodium Chloride แพทย์นิยมใช้บำรุงน้ำหล่อเลี้ยงร่างกาย ชดเชยการสูญเสียน้ำ เลือด และเกลือแร่ให้กับผู้ป่วย 2.รวมถึงช่วยเพิ่มปริมาณเลือดในภาวะขาดน้ำหรือความดันต่ำด้วยน้ำเกลือ RL ที่มีทั้งโซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม และแลคเตท เหมาะสำหรับใช้ช่วยปรับสมดุลกรดด่างในร่างกาย หรือรักษาอาการภาวะช็อกจากการเสียเลือด หรือท้องเสียรุนแรง 3.น้ำเกลือ D5S เป็นน้ำเกลือผสมกลูโคส 5% เหมาะสำหรับใช้ให้พลังงานและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดพลังงาน น้ำเกลือล้างแผล (Normal Saline ) :  น้ำเกลือล้างแผลเป็นสารละลายโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่มีความเข้มข้น 0.9% ซึ่งเรียกว่า ไอโซโทนิก (Isotonic solution) หมายถึงมีความเข้มข้นเท่ากับของเหลวภายในเซลล์ร่างกายมนุษย์ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบหรือระคายเคืองเมื่อสัมผัสกับแผล แตกต่างจากน้ำยาฆ่าเชื้ออื่น ๆ แอลกอฮอล์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่อาจทำลายเนื้อเยื่อและทำให้แสบแผล อีกทั้งน้ำเกลือล้างแผลยังไม่รบกวนกระบวนการสมานแผล ไม่ทำลายเซลล์สร้างใหม่ที่กำลังซ่อมแซมเนื้อเยื่อ สามารถใช้ได้กับเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ รวมถึงใช้กับแผลสด แผลถลอก หรือแผลจากของมีคมบาดที่ไม่ลึกอีกด้วย น้ำเกลือทางการแพทย์  น้ำเกลือล้างจมูก:  การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพทางเดินหายใจอย่างได้ผล เป็นกิจกรรมที่เหมาะจะทำเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น มลพิษ หรือมีปัญหาภูมิแพ้จมูกเรื้อรัง เพียงแต่น้ำเกลือที่ใช้สำหรับล้างจมูก ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะ เพื่อให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดโพรงจมูกโดยไม่ทำให้ระคายเคืองหรือเสี่ยงติดเชื้อ โดยต้องผลิตในสภาวะปลอดเชื้อและผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อที่ได้มาตรฐาน มีความเข้มข้น 0.9% และต้องมีค่า pH ใกล้เคียงกับร่างกาย ประมาณ 5.5 ถึง 6.5 ใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีสารกันเสีย หรือสารเคมีอื่นเจือปน น้ำเกลือสำหรับกลั้วคอและช่องปาก:  น้ำเกลือยังสามารถใช้ทำความสะอาดคอและช่องปากได้เช่นกัน เนื่องจากน้ำเกลือจะช่วยลดจำนวนแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปากและฟันผุ อีกทั้งยังบรรเทาอาการเจ็บคอและรักษาแผลในช่องปากได้เช่นกัน โดยเฉพาะแผลร้อนใน หรือแผลจากการกัดกระพุ้งแก้ม น้ำเกลือในอาหารและการถนอมอาหาร  น้ำเกลือในการทำอาหาร:  น้ำเกลือ คือสารละลายของเกลือในน้ำที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน ใช้ในหลายขั้นตอนของการทำอาหารเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแช่ผักหรือผลไม้ เพื่อดึงสารพิษ สารเคมี และสิ่งสกปรกออก ทำให้ปลอดภัยต่อการบริโภค ถนอมสีและรสชาติของผักให้สดใหม่ อีกทั้งน้ำเกลือยังใช้ในการหมักเนื้อสัตว์ เพื่อดึงความคาวออก ทำให้เนื้อมีรสชาติอร่อยขึ้น เนื้อมีความนุ่ม ชุ่มชื้น ไม่แห้งกระด้าง การรักษาคุณค่าทางโภชนาการ:  น้ำเกลือสามารถใช้ลวกผัก เพื่อช่วยรักษาคลอโรฟิลล์ แร่ธาตุและวิตามินในผัก ทำให้ผักไม่ซีดหรือเปลี่ยนสีเร็ว ช่วยให้ผักยังคงความสดและคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้ดี อีกทั้งยังนิยมใช้ในกระบวนการดองหรือหมักอาหาร เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสีย ทำให้อาหารเก็บได้นานขึ้นโดยยังคงคุณค่าทางโภชนาการ น้ำเกลือเพื่อความงาม น้ำเกลือในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว:  indication เช็คล้างทำความสะอาดหัวสิว น้ำเกลือที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมักมีความเข้มข้นใกล้เคียงกับสารละลายเกลือในร่างกายมนุษย์ (ประมาณ 0.9%) และมีค่า pH ที่เหมาะสมกับผิว (ประมาณ 5.5 ถึง 6.5) ซึ่งใกล้เคียงกับค่า pH ธรรมชาติของผิวหนัง ทำให้น้ำเกลือมีความอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือทำลายเกราะป้องกันผิว ที่สำคัญ น้ำเกลือจะไม่มีสารกันเสีย สี น้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ จึงเหมาะกับผิวบอบบาง แพ้ง่าย และผู้ที่มีอาการระคายเคือง การแก้ปัญหาผิวด้วยน้ำเกลือธรรมชาติ: indication ล้างแผล น้ำเกลือมีแร่ธาตุบางชนิด โดยเฉพาะแมกนีเซียม ที่ช่วยลดการอักเสบของผิว จึงอาจช่วยบรรเทาอาการผิวหนังบางชนิด เช่น กลากหรือสะเก็ดเงินได้ อีกทั้งยังใช้ดีท็อกซ์ผิวโดยดูดซับสารพิษและแบคทีเรียที่ผิวหนัง ทำให้ผิวอ่อนเยาว์และเปล่งปลั่ง การใช้น้ำเกลือในบ้าน  น้ำเกลือเพื่อทำความสะอาด: indication ล้างทำความสะอาดคอนนแทคเลนส์ น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นประมาณ 0.9% เป็นสารละลายที่มีคุณสมบัติช่วยลดการติดเชื้อและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง จึงนิยมนำมาใช้ทำความสะอาดในหลายบริเวณของบ้าน แต่ในพบได้บ่อยมาก ๆ จะใช้สำหรับล้างคอนแทคเลนส์ เพื่อชำระฝุ่นและสิ่งสกปรก ทดแทนการใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ เนื่องจากมีราคาถูกกว่า น้ำเกลือกำจัดคราบและกลิ่น:  น้ำเกลือมีฤทธิ์ช่วยขจัดคราบสกปรกและกลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้านได้หลายรูปแบบ จึงมีหลายคนที่หันมาใช้น้ำเกลือเพื่อกำจัดคราบฝังแน่นบนภาชนะและเครื่องใช้ ดับกลิ่นเหม็นในท่อน้ำและอ่างล้าง และลบคราบน้ำหรือรอยด่างบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ การใช้น้ำเกลือในการซักผ้า: น้ำเกลือช่วยฟื้นฟูและรักษาสีผ้าให้สดใส พร้อมทั้งช่วยขจัดคราบสกปรกได้ดี จึงนิยมนำใช้สำหรับแช่ผ้าม่านหรือพรม เพื่อช่วยขจัดความหม่นหมองและรอยด่าง ทำให้ผ้าดูใหม่ขึ้น   ข้อควรระมัดระวังและผลข้างเคียงจากการใช้น้ำเกลือ  ปริมาณเกลือที่เหมาะสมในแต่ละการใช้งาน  น้ำเกลือที่ใช้ทางการแพทย์จะต้องมีความเข้มข้นของเกลือที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย โดยทั่วไปน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นเท่ากับเกลือในเลือด (ประมาณ 0.9% NSS) เป็นมาตรฐานที่ใช้กันมากที่สุด เพื่อรักษาสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ในเด็กเล็ก ควรหลีกเลี่ยงน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นสูง เช่น NSS แบบปกติ แต่ควรเลือกน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า เช่น 0.3% เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากเกลือเข้มข้นเกินไป การให้น้ำเกลือควรให้ในปริมาณและความเร็วที่เหมาะสม โดยไม่ควรให้เร็วหรือมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกิน หรือน้ำคั่งในปอดได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะขาดน้ำรุนแรงหรือช็อก อาจจำเป็นต้องให้เร็วในช่วงแรก แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด   สัญญาณอันตรายจากการใช้น้ำเกลือไม่ถูกวิธี  อาการปวด บวม หรือแดงบริเวณที่ให้น้ำเกลือ อาจบ่งชี้ถึงการอักเสบหรือเส้นเลือดดำอักเสบ อาการวิงเวียนศีรษะ หนาวสั่น ไข้ หรือรู้สึกไม่สบาย อาจเป็นสัญญาณของการแพ้น้ำเกลือหรือการติดเชื้อ อาการบวมตามร่างกาย หายใจหอบเหนื่อย หรือเสียงกรอบแกรบในปอด แสดงถึงภาวะน้ำคั่งในปอด ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน อาการแพ้ เช่น ผื่นแดง คัน หน้าบวม ปากบวม หายใจลำบาก กล้ามเนื้อกระตุก หรือภาวะชัก ต้องรีบแจ้งแพทย์ทันที ความดันโลหิตสูง ภาวะโซเดียมในเลือดสูง หรือความผิดปกติของเกลือแร่ในเลือด อาจเกิดจากการให้น้ำเกลือมากเกินไปหรือไม่เหมาะสม อุณหภูมิร่างกายต่ำ หรือเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด กลุ่มที่ควรระวังเป็นพิเศษ  เด็กเล็ก เนื่องจากระบบการควบคุมเกลือแร่และน้ำในร่างกายยังไม่สมบูรณ์ จึงควรใช้น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นต่ำและให้ในปริมาณที่เหมาะสม ผู้สูงอายุ ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต หรือความดันโลหิตสูง ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเสี่ยงต่อภาวะน้ำคั่งในปอดและหัวใจล้มเหลว ผู้ป่วยโรคไตวาย หรือมีภาวะบวมน้ำ ควรหลีกเลี่ยงน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นสูง เพราะอาจทำให้หัวใจทำงานหนักและเกิดภาวะปอดบวมน้ำ ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้สารประกอบในน้ำเกลือ ต้องแจ้งแพทย์ก่อนรับการรักษา หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้น้ำเกลือ เนื่องจากโซเดียมคลอไรด์อาจส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์หรือทารก ผู้ป่วยที่รับยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงจากน้ำเกลือ การใช้น้ำเกลือต้องให้ในปริมาณและความเข้มข้นที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และต้องระมัดระวังสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการบวม ปวด บวมแดง หรืออาการแพ้ต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคหัวใจหรือไต การดูแลอย่างใกล้ชิดและการแจ้งแพทย์ทันทีเมื่อพบอาการผิดปกติ จะช่วยป้องกันผลข้างเคียงรุนแรงและเพิ่มความปลอดภัยในการรักษา   ข้อมูลอ้างอิง :  https://www.eucerin.co.th/about-skin/basic-skin-knowledge/saline https://www.intouchmedicare.com/sodium-hloride-solution-for-intravenous-iv-drip https://www.thaihealth.or.th/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/ https://hdmall.co.th/blog/c/saline-solution-types-and-uses/ https://www.bedee.com/articles/wellness/saline https://www.exta.co.th/saline/ https://kleanandkare.co.th/th/5-techniques-to-get-glowing-facial-skin/ https://vogue.co.th/beauty/treatment-lip-balm-gloss-and-moisture https://www.pptvhd36.com/health/news/2029
อ่านเพิ่มเติม
กรกฎาคม 24, 2025
ประโยชน์ของน้ำเกลือ Nss ขวดล้างจมูก

ประโยชน์และการใช้งาน NSS (Normal Saline Solution) ฉลากยาใช้ภายนอก ในวงการแพทย์

ข้อดีของน้ำเกลือ NSS น้ำเกลือ NSS หรือ Normal Saline Solution คือสารละลายน้ำเกลือชนิดหนึ่งที่มีความเข้มข้นของโซเดียม- คลอไรด์เพียง 0.9 % ทำให้มีความอ่อนโยนจนสามารถนำมาใช้อย่างปลอดภัยด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่หลากหลายในชีวิตประจำวัน ซึ่งน้ำเกลือ NSS นี้มีลักษณะเป็นของเหลว ขาวใส ไม่มีกลิ่น อีกทั้งมีความเข้มข้นเทียบเท่ากับเลือด น้ำในเซลล์ และน้ำหล่อเลี้ยงต่าง ๆ ซึ่งความเข้มข้นที่ใกล้เคียงกับของเหลวในร่างกายมนุษย์นี้ทำให้การใช้งานทุกครั้งมีความปลอดภัยและมีข้อดี ดังนี้ 1.ไม่สร้างการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ความเข้มข้นที่ใกล้เคียงกับของเหลวภายในร่างกายระหว่างน้ำเกลือ NSS และของเหลวในร่างกายมนุษย์เรียกว่าไอโซโทนิก  ทำให้ไม่สร้างการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อเมื่อใช้งานกับอวัยวะร่างกายที่สำคัญ เช่น ดวงตา จมูก ผิวหนัง เพราะไม่สร้างความเสียหายให้กับเซลล์ระหว่างการใช้งานน้ำเกลือ NSS  2.ไม่ทำให้เซลล์บวมหรือยุบ น้ำเกลือ NSS มีความเข้มข้นที่พอดี ไม่เจือจางหรือเข้มข้นจนเกินไป ส่งผลให้เซลล์ไม่บวมหรือยุบ เพราะหากน้ำเกลือที่มีความเจือจางเซลล์ในร่างกายมนุษย์ดูดน้ำ  ทำให้เนื้อเยื่อนั้นอักเสบ แต่หากน้ำเกลือนั้นมีความเข้มข้นเกินไปอาจนำไปสู่การเสียน้ำในเซลล์ จนเกิดการยุบตัวและนำไปสู่กระบวนการเผาผลาญ การทำงานกับเซลล์อื่นหยุดชะงัก  น้ำเกลือ NSS จึงไม่ส่งผลให้เซลล์บวมหรือยุบ เพราะมีความปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อจากความเข้มข้นที่พอดี จนสร้างความสมดุลและทำให้เซลล์ในร่างกายสามารถทำงานได้อยากปกติ เช่น หากใช้น้ำเกลือ NSS ล้างแผล นอกจากแผลจะสะอาด ปลอดเชื้อแล้ว ยังทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อสามารถสมานกันได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย  3.ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาแพ้หรือระคายเคือง  น้ำเกลือ NSS ไม่มีสารเคมีอื่นปะปน จึงมีลักษณะขาว ใส ไม่มีกลิ่น และไม่เปลี่ยนค่า pH ของเนื้อเยื่อหรือความเป็นกรดและเบสของของเหลวในร่างกายเวลาที่ใช้งาน  จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย เด็กเล็ก และผู้ป่วย  4.สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ  จากข้อดีต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทำให้หลายคนอาจรู้แล้วว่าน้ำเกลือ NSS จึงสามารถตอบสนองการใช้งานหลากหลายรูปแบบได้ เช่น ล้างแผล ล้างจมูก ล้างดวงตา ไปจนถึงใช้พ่นยา เพราะมีความปลอดภัยกับผู้คน  5.ใช้ในทางการแพทย์ ด้วยความสามารถในการใช้งานได้กับผู้คนที่หลากหลาย เนื่องจากมีความอ่อนโยน ทำให้น้ำเกลือ NSS เป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้งานสำหรับดูแลผู้ป่วย เพราะมีความปลอดภัย เชื่อถือได้ ใช้งานได้หลากหลาย เช่น ล้างอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยที่ไม่ทำลายสมดุลของร่างกาย  น้ำเกลือ NSS จึงเป็นอุปกรณ์ที่มีอิทธิพลอย่างมากในวงการแพทย์ แต่น้ำเกลือ NSS ยังสามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวันได้อีกด้วย เพื่อสร้างสะอาด โดยที่มีความปลอดภัยจากอุปกรณ์ที่ทางการแพทย์ให้การยอมรับนี้ ประโยชน์ของน้ำเกลือ NSS น้ำเกลือ NSS ที่มีความอ่อนโยนนี้สามารถประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วไปได้อีกด้วย ซึ่งเหล่านี้คือ รูปแบบการใช้งานน้ำเกลือ NSS ที่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนและประโยชน์   1.สามารถใช้ล้างแผล  น้ำเกลือ NSS สามารถนำมาใช้ล้างแผลและการอักเสบต่าง ๆ ได้อย่างอ่อนโยน เนื่องจากมีความสะอาด ปลอดเชื้อ และปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อ ทำให้การล้างแผลด้วยน้ำเกลือ NSS นั้นลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อแทรกซ้อน อีกทั้งยังช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกจากแผลได้ เช่น ฝุ่น เลือด หนอง แบคทีเรีย และสิ่งแปลกปลอม    2.สามารถใช้ล้างจมูก  เนื่องจากมลภาวะทางอากาศที่เราต้องเผชิญกันอยู่ทุกวันและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทำให้การล้างทำความสะอาดนั้นมีความสำคัญและจำเป็น ซึ่งน้ำเกลือ NSS สามารถนำมาใช้ล้างจมูกได้เพราะช่วยชำระล้างฝุ่นละอองขนาดเล็กและใหญ่ น้ำมูกหรือสิ่งสกปรกติดค้าง และสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ เช่น เกสรดอกไม้ ซึ่งการล้างจมูก   3.สามารถใช้ล้างตา ดวงตาที่เป็นอวัยวะสำคัญอาจได้รับอันตรายหากถูกเศษสิ่งสกปรกหรือฝุ่นละอองติดอยู่ภายใน จึงสามารถใช้น้ำเกลือ NSS ที่ปลอดภัยทำความสะอาดดวงตา โดยไม่สร้างความระคายเคือง เพื่อขจัดสิ่งสกปรกได้อย่างถูกต้องต้องและปลอดภัย  นอกจากน้ำเกลือจะใช้ทำความสะอาดดวงตาได้แล้ว ยังสามารถล้างคอนแทคเลนส์ได้อีกด้วย    ทริคเล็ก ๆ เพื่อความปลอดภัยสำหรับการใช้น้ำเกลือ NSS คือ น้ำเกลือจะไม่สามารถใช้ทดแทนน้ำยาคอนแทคเลนส์ได้ 100 % จึงไม่ควรใช้น้ำเกลือ NSS แช่คอนแทคเลนส์เด็ดขาด ใช้ล้างคอนแทคเลนส์เท่านั้นเพราะอาจสร้างอันตรายได้ เช่น มีอาการแสบตา ตาแดง ตาแห้ง ระคายเคืองตา ตาอักเสบ ตาติดเชื้อรุนแรง หรือคอนแทคเลนส์เสื่อมคุณภาพ 4.สามารถใช้ทำความสะอาดใบหน้า หากใบหน้ามักมีสิ่งสกปรกตกค้างหรือมีการผลิตความมันมากเกินไป สามารถใช้น้ำเกลือ NSS ล้างใบหน้าได้เพื่อทำความสะอาด ชำระล้างสิ่งอุดตันในรูขุมขน เพื่อรักษาความสมดุลของผิวหน้าด้วยการเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิว ซึ่งคุณประโยชน์เหล่านี้ทำให้นายแบบและนางแบบหลายคนเลือกใช้น้ำเกลือ NSS แทนโทนเนอร์เพื่อทำความสะอาดผิวและเตรียมพร้อมก่อนการบำรุงนั่นเอง แม้ว่าการใช้น้ำเกลือ NSS ที่อ่อนโยนกับใบหน้าจะมีความปลอดภัย แต่จำเป็นต้องระมัดระวังปริมาณทุกครั้งที่ใช้ เพราะหากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมหรือใช้บ่อยจนเกินความจำเป็นอาจส่งผลให้ผิวเสียความชุ่มชื้นจากโซเดียมคลอไรด์    5.สามารถใช้ลดการสะสมแบคทีเรีย  น้ำเกลือ NSS แม้จะมีความอ่อนโยนสูง แต่มีประสิทธิภาพเหนือชั้นสำหรับลดการสะสมของแบคทีเรีย ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรียนตามแผลต่าง ๆ ไปจนถึงแบคทีเรียบนใบหน้า ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ทำให้น้ำเกลือ NSS มีประโยชน์สำหรับคนเป็นสิวอีกด้วย ทิปเล็ก ๆ ในการใช้น้ำเกลือล้างใบหน้าสำหรับคนเป็นสิว คือ ใช้น้ำเกลือที่สะอาด ปลอดภัย ได้รับการตรวจสอบมาตรฐานต่าง ๆ และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำเกลือที่อาจมีการปนเปื้อน เช่น มีการเปิดทิ้งไว้นานแล้ว หรือผ่านการใช้งานรูปแบบอื่น ๆ ที่มีผลต่อความสะอาด   6.สามารถใช้ทำความสะอาดช่องปาก น้ำเกลือ NSS นั้นไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหากเกิดเผลอดื่มน้ำเกลือลงไป แต่สามารถนำน้ำเกลือ NSS มาใช้กลั้วคอเพื่อทำความสะอาดช่องปากได้  เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียที่สร้างกลิ่นปาก อีกทั้งการดูแลช่องปากด้วยน้ำเกลือ NSS ยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพเหงือกอีกด้วย  ขั้นตอนและวิธีการใช้งานน้ำเกลือ NSS ที่ถูกต้อง  ได้เรียนรู้ประโยชน์ของน้ำเกลือ NSS กันไปแล้ว หากต้องการใช้น้ำเกลือเพื่อทำความสะอาดอวัยวะต่าง ๆ ที่มีความบอบบาง เหล่านี้คือขั้นตอนและวิธีการที่ถูกต้องสำหรับการใช้น้ำเกลือเพื่อทำความสะอาด    1.ขั้นตอนและวิธีการใช้น้ำเกลือ NSS ล้างแผล การใช้น้ำเกลือ NSS ล้างแผล ทำได้ด้วยการเลือกใชเน้ำเกลือที่มีคุณภาพ ปราศจากการปนเปื้อน โดยไม่ควรใช้น้ำเกลือราดลงไปบนแผลตรง ๆ แต่เว้นระยะให้มีความเหมาะสม แล้วค่อย ๆ เท ไม่ให้ปากขวดสัมผัสกับแผล หลังจากนั้นให้ใช้สำลีหรือผ้าก็อซปลอดเชื้อซับ    2.ขั้นตอนและวิธีการใช้น้ำเกลือ NSS ล้างจมูก การใช้น้ำเกลือล้างจมูกทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเอง โดยการใช้น้ำเกลือ NSS คู่กับสลิงที่รูปร่างคล้ายเข็มฉีดยา บรรจุน้ำเกลือ NSS ในปริมาณที่เหมาะสมแล้วฉีดเข้าสู่โพรงจมูก ล้างจมูกทีละข้างเพื่อการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง แล้วค่อย ๆ ใช้ผ้าซับใบหน้าให้แห้งสนิทหลังกระบวนการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ   3.ขั้นตอนและวิธีการใช้น้ำเกลือ NSS ล้างตา การใช้น้ำเกลือล้างตา ควรคำนึงถึงน้ำเกลือ NSS ที่ปราศจากเชื้อและคุณภาพได้มาตรฐาน ไม่มีสารกันเสียปะปน ซึ่งควรทำความสะอาดมือก่อนทุกครั้งก่อนการทำความสะอาดดวงตา แล้วค่อย ๆ ดึงเปลือกตาล่างลง แต่เหลือบตาขึ้น เอียงศีรษะตามตาที่กำลังล้างในขณะนั้น แล้วฉีดน้ำเกลือเข้าที่บริเวณตา  ซึ่งจะช่วยทำความสะอาดดวงตาจากสิ่งสกปรก    4.ขั้นตอนและวิธีการใช้น้ำเกลือ NSS ทำความสะอาดใบหน้า การใช้น้ำเกลือทำความสะอาดใบหน้าเริ่มต้นได้อย่างง่ายดายและปลอดภัยด้วยการใช้ผ้าสะอาดจุ่มลงในน้ำเกลือ NSS แล้วนำไปเช็ดให้ทั่วใบหน้า ในเริ่มแรกควรเริ่มทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อทดสอบว่าผิวหน้าสามารถปรับสมดุลได้หรือไม่ เพียงเท่านี้ก็สามารถล้างหน้าด้วยน้ำเกลือเพื่อกำจัดความมัน สิ่งสกปรกต่าง ๆ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าด้วยน้ำเกลือ   5.ขั้นตอนและวิธีการใช้น้ำเกลือ NSS ทำความสะอาดช่องปาก การใช้น้ำเกลือทำความสะอาดช่องปากสามารถทำได้ด้วยวิธีการบ้วนปากและกลั้วคอ ซึ่งมีความปลอดภัย แม้ว่าระหว่างการทำความสะอาดจะเผลอดื่มน้ำเกลือก็ตาม ซึ่งควรเริ่มทำทุก ๆ 2 – 3 ครั้งวัน เพื่อบรรเทาอาการคันคอ เจ็บคอ และบรรเทาแผลร้อนในในช่องปากอีกด้วย หลังจากนั้นค่อยเพิ่มจำนวนเป็น 3 – 4 ครั้งต่อวัน เริ่มต้นดูแลร่างกายอย่างครบถ้วนด้วยน้ำเกลือ NSS จาก GHP ได้เห็นกันไปแล้วว่าน้ำเกลือ NSS ที่วงการแพทย์ยังให้ความยอมรับนี้มีคุณประโยชน์มากมายแค่ไหน อีกทั้งยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย เพียงเท่านี้ก็สามารถดูแลสุขภาพร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ตา จมูก หรือใบหน้าอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำเกลือ ซึ่งหากคุณกำลังมองหาน้ำเกลือ NSS มีคุณภาพ ปราศจาก สารปนเปื้อนตามข้อแนะนำด้านบนเหล่านี้ มองหาน้ำเกลือ NSS จาก GHP ตามร้านขายยาทั่วไปได้เลย เพื่อให้คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ชีวิตอย่างสะอาดที่เริ่มต้นได้ด้วยตนเอง
อ่านเพิ่มเติม
มีนาคม 25, 2025
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่

ทำอย่างไร?ผู้สูงอายุ”กลั้นปัสสาวะ”ไม่อยู่

อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะรดที่นอน ปัสสาวะรั่วเมื่อไอจาม เป็นปัญหาที่ผู้สูงอายุหลายคนต้องเจอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามหรือนิ่งนอนใจ เพราะจะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่สร้างความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจให้ผู้สูงอายุได้ค่ะ วันนี้ Casoft มีเทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยลดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ของผู้สูงอายุให้น้อยลงมาฝากกันค่ะ • ปรับวิธีการดื่มน้ำ โดยให้ดื่มน้ำวันละ 8 – 10 แก้ว และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อนเข้านอน • ฝึกควบคุมการขับถ่าย ฝึกกลั้นปัสสาวะให้นานขึ้นก่อนปัสสาวะและในขณะที่กำลังปัสสาวะควรปัสสาวะช้าๆและปัสสาวะให้หมด โดยห้ามเบ่งเด็ดขาด • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ทานผักผลไม้เพื่อลดอาการท้องผูก • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก เพราะการยกของหนักเป็นการเพิ่มแรงดันในช่องท้องภายในที่จะไปกดกระเพาะปัสสาวะได้ • ฝึกขมิบกล้ามเนื้อหูรูด ครั้งละประมาณ 5 วินาที และหยุดขมิบ 10 วินาที ทำซ้ำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยแบ่งทำในช่วงเช้า กลางวัน และเย็น เป็นประจำทุกวัน แล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลาให้มากขึ้นและระหว่างนี้หากปัญหาเรื่องกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ยังไม่ลดลง สามารถเลือกใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มความมั่นใจและเพื่อลดความกังวลได้ค่ะ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ Casoft ผ้าอ้อมที่ใส่ใจดูแลผู้สูงวัย
อ่านเพิ่มเติม
ตุลาคม 18, 2024
โรคภูมิแพ้-ทางเดินหายใจ

โรคภูมิแพ้ รู้เท่าทัน สามารถดูแลรักษาภูมิแพ้ให้ดีขึ้นได้

โรคภูมิแพ้ (Allergy) คือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อสารบางชนิดที่ปกติไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป แต่ในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะมองว่าสารเหล่านั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมและพยายามต่อสู้กับมัน โดยสารที่ทำให้เกิดการแพ้เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งสารเคมี ฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการคัน น้ำมูกไหล จาม หรือมีอาการที่รุนแรงกว่านั้นหากไม่ได้รับการรักษาภูมิแพ้ที่เหมาะสม อาทิ หายใจลำบาก หรือภาวะภูมิแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)  อาการของโรคภูมิแพ้ ที่ร่างกายตอบสนองจนสังเกตได้ อาการภูมิแพ้ในระบบหายใจ ผู้ที่ต้องการรักษาภูมิแพ้ ต้องทราบก่อนว่าตนมีอาการภูมิแพ้ในระบบหายใจรูปแบบใดบ้าง เริ่มตั้งแต่การคันจมูกและคัดจมูก น้ำมูกไหล อาการจามบ่อย ๆ มักเกิดเป็นชุดต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ หายใจไม่สะดวก อันเกิดจากการอักเสบและบวมของเยื่อบุจมูกหรือหลอดลม ทำให้หายใจลำบาก อาจมีอาการหายใจเสียงหวีด Wheezing soud หรือหอบร่วมด้วย (ในกรณีของโรคหืด) และอาการไอเรื้อรัง เกิดจากการระคายเคืองในทางเดินหายใจส่วนล่าง อาการนี้มักเกิดขึ้นในช่วงกลางคืนหรือหลังออกกำลังกาย อาการภูมิแพ้ในระบบทางเดินอาหาร ภูมิแพ้ในระบบทางเดินอาหารมักเกิดจากการแพ้อาหาร ในกลุ่มนมวัว ถั่ว ไข่ และอาหารทะเล โดยผู้ที่ไม่ได้ทานยาแก้แพ้ (Antihistamine) อาการที่เกิดขึ้นมักแสดงภายในไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารที่แพ้ อาการที่สังเกตได้ มีตั้งแต่อาการคลื่นไส้และอาเจียน โดยระบบทางเดินอาหารตอบสนองต่อการระคายเคืองและพยายามขับอาหารออกจากร่างกาย อาการปวดท้องและท้องเสีย อาการบวมในช่องปากหรือลำคอ ในบางกรณีจะมีอาการบวมที่ลิ้น ริมฝีปาก หรือลำคอ ซึ่งเป็นอาการแพ้ที่รุนแรง ทำให้หายใจไม่ออก ต้องได้รับการรักษาภูมิแพ้อย่างเร่งด่วน อาการภูมิแพ้ในผิวหนัง ภูมิแพ้ในผิวหนังเกิดขึ้นจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง โลหะ ฝุ่น หรืออาหาร โดยผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ หากไม่ได้ยาแก้แพ้ (Antihistamine) ที่เหมาะสม ผิวหนังจะมีตุ่มน้ำเล็ก ๆ ผื่นแดงแห้งคันขึ้นในบริเวณที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ มักเกิดบริเวณใบหน้า ข้อพับแขน ข้อพับขา คอ หรือมีอาการบวมเฉพาะจุด รวมถึงผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการลมพิษร่วมด้วย อาการภูมิแพ้ในระบบอื่น ๆ บางครั้งอาการภูมิแพ้อาจส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการแพ้ที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน โดยอาการที่สังเกตได้ มีตั้งแต่การบวมของลำคอหรือทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบากหรือไม่สามารถหายใจได้ ความดันโลหิตต่ำ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหน้ามืด วิงเวียน หรือบางรายอาจถึงขั้นช็อก หมดสติ หรืออาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) แพ้รุนแรงอาการนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาภูมิแพ้อย่างเร่งด่วนด้วยการฉีดอะดรีนาลีน หรือ อีพิเพ็น (adrenaline / epipen) และรีบไปพบแพทย์ สาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้ เกิดจากกรรมพันธุ์ หากในครอบครัวมีประวัติของการแพ้สารบางชนิดหรือเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหืด ผื่นภูมิแพ้ หรือโรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ ลูกหลานจะมีโอกาสเกิดภูมิแพ้ได้สูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากพันธุกรรมมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีการตอบสนองที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติ โดยถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ โอกาสที่ลูกจะเป็นภูมิแพ้อยู่ที่ประมาณ 30 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ โอกาสที่ลูกหลานจะเป็นภูมิแพ้มากขึ้น 50 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ และรวมถึงการเลือกวิธีรักษาภูมิแพ้ด้วย แม้ว่าจะไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว การสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นสารก่อภูมิแพ้หรือมลพิษในระยะยาวก็สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้ สารก่อภูมิแพ้ที่พบในสิ่งแวดล้อมประกอบไปด้วย ฝุ่นละออง ไรฝุ่น ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เชื้อราในอากาศ ควันจากยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม หรือควันบุหรี่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เครื่องสำอาง ยาฆ่าแมลง อาหารบางชนิด อย่างถั่ว นมวัว อาหารทะเล หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ความชื้น หรือลม ก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน หากไม่ได้รับการดูแลรักษาภูมิแพ้ที่เหมาะสม ก่อนรักษาภูมิแพ้ ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด การรักษาภูมิแพ้มีขั้นตอนที่สำคัญมากในการระบุสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดอาการ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยวิธีการตรวจสอบมีหลายวิธี แต่ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้ การตรวจทดสอบภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง (Skin Prick Test): เป็นการตรวจที่ใช้เข็มเล็กๆ สะกิดผิวหนัง เพื่อให้สารก่อภูมิแพ้ที่ทำการทดสอบเข้ามาในร่างกาย ถ้าคุณแพ้สารนั้นจะเกิดอาการบวมแดงขึ้นในบริเวณที่ทดสอบ ซึ่งช่วยให้แพทย์รู้ว่าคุณแพ้สารก่อให้เกิดภูมิแพ้ชนิดใด และรักษาภูมิแพ้ได้กับสาเหตุที่แพ้ได้ การตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด (Allergy Blood Test): วิธีนี้จะวิเคราะห์เลือด เพื่อตรวจหาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้ โดยมักจะดูระดับของแอนติบอดี IgE ซึ่งสามารถบอกได้ว่าคุณมีแนวโน้มที่จะแพ้สารใด การทดสอบการแพ้อาหารโดยรับประทานอาหารที่สงสัย (Oral Food Challenge Test): วิธีนี้เป็นการทดสอบที่ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่สงสัยว่าจะทำให้เกิดอาการแพ้ โดยจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อสังเกตอาการที่เกิดขึ้น หากมีอาการแพ้เกิดขึ้นจะสามารถระบุได้ว่าอาหารนั้นคือสารก่อภูมิแพ้ วิธีการรักษาภูมิแพ้ หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้เป็นวิธีการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการป้องกันและรักษาภูมิแพ้ ซึ่งสามารถทำได้ตามประเภทของสารที่ก่อให้เกิดอาการ ฝุ่นละอองและไรฝุ่น: รักษาความสะอาดบ้าน ซักผ้าปูที่นอนและหมอนบ่อย ๆ ใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีตัวกรองประสิทธิภาพสูง (HEPA) และลดการใช้พรมในบ้าน เกสรดอกไม้: หลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกในช่วงที่เกสรดอกไม้สูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน และปิดหน้าต่าง เพื่อป้องกันเกสรดอกไม้เข้าบ้าน ขนสัตว์: หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์เลี้ยงที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หมั่นทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงและบริเวณที่สัตว์อยู่เป็นประจำ อาหาร: หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการแพ้ ไม่ว่าจะเป็นถั่ว นม ไข่ และอาหารทะเล โดยการตรวจสอบฉลากอาหารทุกครั้งก่อนรับประทาน มลพิษทางอากาศ: หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง เช่น ควันบุหรี่ ควันจากยานพาหนะ หรือสารเคมีในอากาศ การใช้ยารักษาภูมิแพ้ ยารักษาภูมิแพ้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้บรรเทาอาการและรักษาภูมิแพ้ โดยยาที่นิยมใช้ในการรักษาภูมิแพ้ ได้แก่ ยาแก้แพ้ (Antihistamines): ยานี้ช่วยบรรเทาอาการจากการแพ้ ทั้งอาการคัน จาม น้ำมูกไหล และผื่น ยาแก้แพ้รุ่นใหม่มักไม่ทำให้ง่วงนอน เช่น ลอราทาดีน (Loratadine) หรือเซทิริซีน (Cetirizine) ยาลดการอักเสบในจมูก (Intranasal Corticosteroids): ยาพ่นจมูกประเภทสเตียรอยด์ เช่น ฟลูติคาโซน (Fluticasone) ช่วยลดการอักเสบในโพรงจมูกและช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ยาควบคุมโรคหืด (Bronchodilators): สำหรับผู้ที่เป็นโรคหืดร่วมกับโรคภูมิแพ้ สามารถใช้ยาขยายหลอดลม เพื่อช่วยในการบรรเทาและรักษาภูมิแพ้ได้ เช่น ยาซาลบูทามอล (Salbutamol) ที่ช่วยลดการหดตัวของหลอดลมและบรรเทาอาการหายใจไม่สะดวก ยาสเตียรอยด์ทาผิวหนัง: ใช้สำหรับผื่นภูมิแพ้หรือผื่นลมพิษ ยาสเตียรอยด์จะช่วยลดการอักเสบและอาการคันที่ผิวหนัง การฉีดวัคซีนรักษาภูมิแพ้ การฉีดวัคซีนรักษาภูมิแพ้เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้ร่างกายปรับตัวต่อสารก่อภูมิแพ้ได้ โดยการค่อย ๆ ฉีดสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณเล็กน้อยเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันค่อย ๆ ปรับตัวและลดการตอบสนองที่รุนแรงลง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้รุนแรงและไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยารักษาโรคภูมิแพ้ และผู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ได้ รักษาภูมิแพ้ร่วมด้วยการรักษาโรคร่วมอื่น ๆ ในบางกรณี การรักษาภูมิแพ้ต้องทำควบคู่กับการรักษาโรคอื่น ๆ ที่เกิดร่วมกัน เนื่องจากโรคเหล่านี้อาจส่งผลให้อาการภูมิแพ้รุนแรงขึ้น โรคหืด: ผู้ที่เป็นโรคหืดและภูมิแพ้มักจะต้องใช้ยาควบคุมอาการหืดอย่างต่อเนื่อง เช่น ยาขยายหลอดลมหรือยาสเตียรอยด์ โรคไซนัสอักเสบ: อาการคัดจมูกจากภูมิแพ้สามารถทำให้เกิดไซนัสอักเสบเรื้อรังได้ ดังนั้นจึงต้องรักษาภูมิแพ้ควบคู่ไปกับโรคไซนัสด้วย โรคผิวหนังอักเสบ: ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังหรือโรคผิวหนังอักเสบต้องได้รับการรักษาด้วยยาทาผิวหนังและการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ การติดเชื้อทางเดินหายใจ: หากมีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ หรือหูน้ำหนวก ควรได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือยาต้านการอักเสบควบคู่กับการรักษาภูมิแพ้ รักษาภูมิแพ้ให้อาการดีขึ้นได้ เมื่อดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม การดูแลรักษาภูมิแพ้ให้มีอาการดีขึ้นสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ซึ่งวิธีการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาอาการแพ้ แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงขึ้น โดยวิธีการดูแลรักษาสุขภาพที่เหมาะสม มีดังนี้ พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูจากอาการแพ้ได้ดีขึ้น ผู้ที่ต้องการดูแลรักษาภูมิแพ้ จึงควรนอนหลับอย่างน้อย 7 ถึง 9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตควรนอนหลับให้เพียงพอตามช่วงอายุ เนื่องจากหากนอนหลับไม่เพียงพอจะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและทำให้ภูมิแพ้กำเริบง่ายขึ้น อยู่ในสภาพแวดล้อมอุณหภูมิที่เหมาะสม ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ในระบบหายใจและต้องการรักษาภูมิแพ้ให้ดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง หรืออากาศแห้งเกินไป เพราะอาจทำให้เยื่อบุจมูกหรือทางเดินหายใจแห้ง ซึ่งส่งผลให้อาการภูมิแพ้รุนแรงขึ้น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การรับประทานที่เหมาะสม เป็นวิธีการดูแลรักษาภูมิแพ้ที่สามารถเริ่มต้นปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามิน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับภูมิแพ้ได้ดีขึ้น เน้นการรับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง และกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในปลาทะเล เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยลดการอักเสบและอาการแพ้ รวมถึงการดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น และช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้ดีขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานของปอดและหัวใจ อีกทั้งยังช่วยให้ระบบทางเดินหายใจมีความแข็งแรง ลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจได้ดี อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการรักษาภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในสถานที่ที่มีมลพิษทางอากาศหรือในวันที่มีเกสรดอกไม้สูง เพราะอาจกระตุ้นอาการแพ้ได้ รักษาภูมิแพ้โดยการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นวิธีรักษาภูมิแพ้ง่ายๆ ที่ช่วยลดการสะสมของสารก่อภูมิแพ้ในโพรงจมูก และลดอาการอักเสบและน้ำมูกไหลจากโรคภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากน้ำเกลือจะช่วยล้างสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง และสารก่อภูมิแพ้ออกจากโพรงจมูก ทำให้ทางเดินหายใจโล่งและลดอาการระคายเคือง   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.bangkokhospital.com/content/prevent-and-cure-allergic-rhinitis
อ่านเพิ่มเติม
ตุลาคม 18, 2024
ภูมิแพ้เด็ก-รักษาภูมิแพ้เด็ก

ภูมิแพ้เด็ก อาการที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนต้องรู้

ภูมิแพ้เด็กหรือโรคภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นในเด็ก หมายถึง ปฏิกิริยาผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของเด็กที่ตอบสนองต่อสารบางชนิดที่ปกติไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สารเหล่านี้เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) เมื่อเด็กที่มีภาวะภูมิแพ้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองรุนแรงกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการแพ้ตามมา ซึ่งอาการแพ้สามารถเกิดขึ้นที่ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินหายใจ ทางผิวหนัง หรือระบบลำไส้ โดยทั่วไปแล้ว อาการแพ้มักเกิดขึ้นในวัยเด็กและอาจดำเนินไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้เด็ก ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงที่เด็กจะมีอาการภูมิแพ้ หากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติการแพ้ เด็กจะมีโอกาสสูงขึ้นที่จะเป็นภูมิแพ้เด็กด้วย โดยปัจจัยพันธุกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ประวัติภูมิแพ้ครอบครัวในปัจจัยทางด้านพันธุกรรม: หากพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมีอาการภูมิแพ้ เด็กจะมีโอกาสประมาณ 20 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเป็นภูมิแพ้เด็ก แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่มีอาการภูมิแพ้ ความเสี่ยงของเด็กจะเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 50 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ การส่งต่อชนิดโรคภูมิแพ้มาจากปัจจัยด้านพันธุกรรม: ประเภทของภูมิแพ้ที่ของปัจจัยด้านพันธุกรรมอาจส่งผลต่อชนิดของโรคภูมิแพ้ที่เด็กจะเป็น เช่น หากพ่อแม่เป็นโรคหืด หรือโรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ เด็กมีโอกาสสูงที่จะเป็นมีอาการภูมิแพ้เด็กกลุ่มนี้เช่นกัน ยีนที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน: การตอบสนองที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้สามารถถ่ายทอดผ่านยีน ยีนที่ควบคุมการผลิต IgE ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภูมิแพ้ ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถูกถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกได้เช่นกัน ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม แม้ว่าปัจจัยทางพันธุกรรมจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก แต่ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมก็มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นหรือทำให้เกิดอาการภูมิแพ้เด็กได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในกรณีที่เด็กมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมอยู่แล้ว ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อภูมิแพ้เด็ก ได้แก่ มลพิษในอากาศ: การอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง เช่น ควันบุหรี่ ควันจากรถยนต์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหืด ฝุ่นและไรฝุ่นในบ้าน: ฝุ่นละอองและไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้เด็กที่พบบ่อยในบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่สะอาด หรือมีความชื้นสูง เช่น พื้นพรม ที่นอน หรือเครื่องนอนที่ไม่ได้ทำความสะอาดบ่อย ๆ สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ: เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ เชื้อรา สิ่งเหล่านี้สามารถพบได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล อย่างฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งมีเกสรดอกไม้มาก การสัมผัสกับควันบุหรี่: เด็กที่อาศัยอยู่ในครอบครัวที่มีการสูบบุหรี่ จะมีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาอาการภูมิแพ้เด็กและโรคหืด เนื่องจากควันบุหรี่เป็นสารระคายเคืองที่รุนแรงต่อระบบทางเดินหายใจ การสัมผัสกับสารเคมี: การสัมผัสสารเคมีในชีวิตประจำวัน ทั้งน้ำหอม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือเครื่องสำอางต่างทำให้เกิดอาการแพ้ผิวหนังได้ เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema) เชื้อโรคและการติดเชื้อไวรัส: การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบ่อยครั้งในช่วงวัยเด็ก อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันมีการตอบสนองผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้เด็กในอนาคต อาหารและการเลี้ยงดูในวัยเด็ก: การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น นมวัว ไข่ ถั่วลิสง หรืออาหารทะเล อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ทางอาหาร นอกจากนี้ การหย่านมแม่เร็วเกินไป หรือการได้รับอาหารเสริมที่ไม่เหมาะสมในวัยเด็ก สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการพัฒนาอาการแพ้ได้ การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยครั้ง: มีงานวิจัยที่ชี้ว่าการใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไปในวัยเด็กอาจส่งผลต่อการพัฒนาของระบบภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้เด็กได้ โรคภูมิแพ้เด็กที่พบได้บ่อยมีอะไรบ้าง? โรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) โรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้เด็กเป็นโรคที่พบได้บ่อย สาเหตุหลักมาจากการแพ้สิ่งกระตุ้นในอากาศ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และเชื้อรา อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ น้ำมูกไหล คันจมูก จาม และอาการคัดจมูก โดยเด็กที่เป็นโรคนี้มักจะมีอาการคันบริเวณจมูกและรอบ ๆ ดวงตา ซึ่งสามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการนอนหลับของเด็กได้ ส่วนใหญ่วิธีการรักษาอาการภูมิแพ้เด็กกลุ่มนี้ แพทย์จะใช้ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines) และสเปรย์ฉีดจมูกที่มีส่วนประกอบของยาสเตียรอยด์ นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ อย่างการลดฝุ่นในบ้านก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำเช่นกัน โรคหืด (Asthma) โรคหืดเป็นอีกโรคภูมิแพ้เด็กที่พบบ่อยในเด็ก เกิดจากการอักเสบของทางเดินหายใจ ระบบทางเดินหายใจบวม หรือตีบแคบลงจนทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก หายใจมีเสียงวี๊ด ๆ และรู้สึกแน่นหน้าอก สารกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการหืดอาจเป็นฝุ่นละออง ควันบุหรี่ หรือการติดเชื้อไวรัส อาการจะรุนแรงขึ้นเมื่อเด็กออกกำลังกาย ช่วงกลางคืน ตอนเป็นหวัด หรือสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้โดยตรง อาการภูมิแพ้เด็กในกลุ่มนี้สามารถควบคุมได้โดยการใช้ยาขยายหลอดลม ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่น รวมถึงการหลีกเลี่ยงสารที่กระตุ้นอาการ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังหรือผื่นแพ้ (Eczema) เป็นโรคภูมิแพ้เด็กที่ส่งผลให้ผิวหนังแห้งและมีอาการคันมาก มักพบในเด็กเล็ก โดยผิวหนังจะเกิดอาการผื่นแดง บางครั้งมีน้ำเหลืองออกมา มีอาการเรื้อรัง โดยเฉพาะในบริเวณแก้ม ข้อพับ และข้อศอก อาการภูมิแพ้จะแย่ลงเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น สบู่หอม น้ำหอม หรือผงซักฟอก การรักษาภูมิแพ้เด็กกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะใช้ครีมสเตียรอยด์และครีมให้ความชุ่มชื้นกับผิว การอาบน้ำและใช้สบู่อ่อน ๆ รวมถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองก็สามารถลดอาการภูมิแพ้เด็กได้เช่นกัน ผื่นลมพิษ (Urticaria) ผื่นลมพิษเป็นผื่นที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดอาการบวมแดงและคันทั่วร่างกาย เกิดจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งพบได้ทั้งในอาหารหรือยา อาการลมพิษสามารถหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงหลายวัน แต่ในบางกรณีอาจเกิดขึ้นเรื้อรังได้ การรักษาอาการภูมิแพ้เด็กที่เป็นผื่นลมพิษ สามารถใช้ยาต้านฮีสตามีนช่วยบรรเทาอาการได้ และในกรณีที่ลมพิษรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์หรือยาอื่น ๆ ที่แพทย์แนะนำ เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Conjunctivitis) เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้เกิดจากการแพ้สารที่สัมผัสกับเยื่อบุตา ทั้งฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ตาแดง คันตา น้ำตาไหล และอาการบวมรอบดวงตา บางครั้งอาจมีอาการร่วมกับโรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ได้ การรักษาภูมิแพ้เด็กลักษณะนี้ แพทย์จะใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนประกอบของยาต้านฮีสตามีนในการรักษา ควบคู่ไปกับการควบคุมให้เด็กหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารที่เป็นสาเหตุของภูมิแพ้ จะช่วยให้อาการของเด็กดีขึ้นได้ การทดสอบภูมิแพ้เด็กทำได้ไม่ยาก การทดสอบภูมิแพ้ที่ผิวด้วยวิธีการสะกิด การทดสอบภูมิแพ้เด็กด้วยวิธีการสะกิดผิว หรือที่เรียกว่า Skin Prick Test เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและมีความแม่นยำพอสมควรในเด็ก โดยแพทย์จะหยดสารที่เป็นไปได้ว่าจะทำให้เกิดภูมิแพ้เด็ก เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่นละออง หรืออาหารบางชนิด ลงบนผิวหนังของเด็ก จากนั้นจะใช้เข็มเล็ก ๆ ทำการสะกิดผิวหนังเบา ๆ ในบริเวณที่หยดสาร เพื่อให้สารสามารถแทรกเข้าไปสัมผัสกับเซลล์ผิวหนัง หากเด็กมีอาการแพ้ต่อสารดังกล่าว บริเวณที่ถูกสะกิดจะเกิดปฏิกิริยาคล้ายผื่นหรือตุ่มแดงขึ้นภายใน 15 ถึง 20 นาที วิธีนี้ใช้เวลาสั้นและเจ็บน้อย จึงเป็นวิธีที่นิยมใช้กับเด็ก การทดสอบภูมิแพ้ด้วยการตรวจเลือด วิธีการตรวจเลือดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้สำหรับการทดสอบภูมิแพ้เด็ก (Blood Test) โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถทำการทดสอบที่ผิวหนังได้ เช่น เด็กมีปัญหาผิวหนังเรื้อรัง หรือเด็กที่ไม่สามารถหยุดใช้ยาที่อาจมีผลต่อการทดสอบผิวหนังได้ การตรวจเลือดจะทำการวิเคราะห์หาปริมาณของสารภูมิคุ้มกัน IgE ในเลือด ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ หากพบปริมาณสาร IgE สูง แสดงว่าเด็กมีปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารที่ทำการทดสอบชนิดนั้นๆ การทดสอบภูมิแพ้เด็กด้วยวิธีอื่น ๆ นอกจากการทดสอบที่ผิวหนังและการตรวจเลือดแล้ว ยังมีวิธีการทดสอบภูมิแพ้เด็กแบบอื่น ๆ ที่อาจนำมาใช้ตามความเหมาะสมกับอาการของเด็กได้ เช่น การทดสอบภูมิแพ้เด็กโดยการรับประทานหรือสูดดม (Oral or Inhalation Challenge Test) : เป็นการทดสอบโดยให้เด็กได้รับสารที่สงสัยว่าเป็นสาเหตุของภูมิแพ้ผ่านการรับประทานหรือสูดดม โดยการทำการทดสอบนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจเกิดปฏิกิริยารุนแรงได้ การทดสอบภูมิแพ้เด็กด้วยวิธีการแปะที่ผิวหนัง (Patch Test): วิธีนี้เหมาะสำหรับการทดสอบสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้แบบล่าช้า เช่น สารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือเครื่องสำอาง แพทย์จะนำสารที่สงสัยมาแปะไว้บนผิวหนังของเด็กประมาณ 48 ชั่วโมง แล้วทำการประเมินผลภูมิแพ้เด็กหลังจากนั้น วิธีป้องกันให้เด็กห่างไกลจากอาการภูมิแพ้เด็ก ลดปริมาณฝุ่นและไรฝุ่นในบ้าน: ทำความสะอาดบ้านบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ที่สะสมฝุ่น เช่น พรม โซฟา และเตียงนอน การใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพและการซักเครื่องนอนบ่อย ๆ ช่วยลดฝุ่นและไรฝุ่นได้ดี ใช้เครื่องฟอกอากาศ: เครื่องฟอกอากาศที่มีฟิลเตอร์ HEPA (High-Efficiency Particulate Air) สามารถช่วยกรองฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ และเชื้อราที่ลอยอยู่ในอากาศ ลดสารก่อภูมิแพ้เด็กในบ้าน หลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ในบ้าน: หากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติแพ้ขนสัตว์ ควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีขน อย่างสุนัขหรือแมว หรือหากมีสัตว์เลี้ยง ควรจำกัดให้พวกมันอยู่ในพื้นที่ที่เด็กไม่สัมผัสบ่อย หลีกเลี่ยงควันบุหรี่และมลพิษในบ้าน: ไม่ควรสูบบุหรี่ภายในบ้านหรือในบริเวณใกล้กับเด็ก เนื่องจากควันบุหรี่เป็นปัจจัยกระตุ้นที่รุนแรงของโรคภูมิแพ้เด็กและโรคหืด รักษาความชื้นในบ้าน : ควรรักษาความชื้นในบ้านให้ 40-60% RH โดยใช้เครื่องลดความชื้น เพื่อลดการเจริญเติบโตของเชื้อราและไรฝุ่น รักษาอาการภูมิแพ้เด็ก ภูมิแพ้เด็กในกลุ่มอาการแพ้จมูก แพ้อากาศ สามารถใช้วิธีล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ  การล้างจมูก ป้องกันโรคภูมิแพ้ วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ขวดล้างจมูก GHP Nasi CareNasal Washer ขวดขนาด 300 มล. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.phyathai.com/th/article/1990-why_parents_should_know_about_allergybranchpyt2
อ่านเพิ่มเติม
ตุลาคม 15, 2024
ล้างจมูก คือ

ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (Nasal Irrigation) ลดโรค ปลอดเชื้อ วิธีป้องกันเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย

การล้างจมูก (Nasal Irrigation) คือกระบวนการทำความสะอาดโพรงจมูกด้วยการใช้น้ำเกลือปราศจากเชื้อ (น้ำเกลือ isotonic ที่มีความเข้มข้น 0.9 เปอร์เซ็นต์) เพื่อขจัดสิ่งสกปรก เมือก และสารก่อภูมิแพ้ที่สะสมอยู่ในโพรงจมูก การล้างจมูกไม่เพียงแต่จำเป็นเฉพาะผู้ที่มีอาการป่วยหรือเป็นโรคภูมิแพ้เท่านั้น แต่คนสุขภาพแข็งแรง ที่มีความต้องการที่จะดูแลจมูกทั้ง ผู้ใหญ่ และเด็กก็สามารถล้างจมูกได้เช่นกัน การล้างจมูกมีประโยชน์อย่างไร? 1.การขจัดสารระคายเคืองและสารก่อภูมิแพ้ ในชีวิตประจำวัน โพรงจมูกของเรามีโอกาสสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ รวมถึงมลพิษต่าง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ เมื่อสารเหล่านี้เข้าสู่โพรงจมูกจะก่อให้เกิดอาการคัดจมูก จาม และน้ำมูกไหล มักพบในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ซึ่งการล้างจมูกจะล้างเอาสิ่งสกปรกและสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้ออกจากโพรงจมูก จึงช่วยลดอาการแพ้และทำให้หายใจสะดวกขึ้น 2.ลดการอักเสบของโพรงจมูกและไซนัส การล้างจมูกช่วยขจัดน้ำมูกและเมือกที่สะสมในโพรงจมูกและไซนัส เมือกที่สะสมเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือช่วยล้างเมือกที่ค้างอยู่ ลดโอกาสการเกิดการอักเสบหรือไซนัสอักเสบได้ดี โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาไซนัสอักเสบเรื้อรัง 3.ส่งเสริมสุขอนามัยโพรงจมูก การล้างจมูกอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นวิธีดูแลรักษาความสะอาดของโพรงจมูกที่ดี เมื่อทำเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดหรือในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง การล้างจมูกจะช่วยป้องกันเชื้อโรคไม่ให้สะสมในโพรงจมูก ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนได้ ทั้งเชื้อไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ 4.บรรเทาอาการคัดจมูกและหายใจติดขัด การคัดจมูกเกิดจากการสะสมของเมือกและการอักเสบของเยื่อบุจมูก ส่งผลให้ทางเดินหายใจอุดตันได้ง่าย ซึ่งการล้างจมูกจะช่วยระบายเมือกที่อุดตันในโพรงจมูกและลดอาการอักเสบ ทำให้โพรงจมูกโล่งขึ้นและสามารถหายใจได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการคัดจมูกจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคภูมิแพ้ 5.ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้โพรงจมูก ในบางกรณี อาทิ เมื่ออยู่ในสภาพอากาศแห้ง หรือใช้เครื่องปรับอากาศเป็นเวลานาน อาจทำให้โพรงจมูกแห้ง และก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเลือดกำเดาไหลได้ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้เยื่อบุโพรงจมูก ป้องกันการแห้งและบรรเทาอาการระคายเคืองในโพรงจมูก 6.ช่วยรักษาภาวะหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) และการนอนกรน ผู้ที่มีภาวะหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) หรือมีปัญหานอนกรน มักมีสาเหตุจากการอุดตันในโพรงจมูกหรือทางเดินหายใจ ดังนั้นการล้างจมูกจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกขณะนอนหลับ ลดอาการนอนกรน และปรับปรุงคุณภาพการนอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7.การเตรียมจมูกก่อนการใช้ยาพ่นจมูก ผู้ที่ใช้ยาพ่นจมูก ทั้งกลุ่มยารักษาโรคภูมิแพ้หรือยารักษาไซนัส การล้างจมูกให้สะอาดก่อนการพ่นยาจะทำให้ยาที่พ่นสามารถออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น เนื่องจากยาสามารถสัมผัสกับเยื่อบุโพรงจมูกได้โดยตรงและกระจายไปทั่วโพรงจมูกได้ดียิ่งขึ้น 8.ลดการใช้ยาลดอาการคัดจมูก การล้างจมูกเป็นวิธีที่ลดอาการคัดจมูกที่นอกจากการพึ่งพายาในการบรรเทาอาการคัดจมูก โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ยาพ่นจมูกหรือยาลดน้ำมูกบ่อย ๆ การล้างจมูกช่วยให้คุณสามารถควบคุมอาการได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยา รวมถึงลดความเสี่ยงจากการใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานได้อีกด้วย ใครที่บ้างที่ควรล้างจมูก ผู้ที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) ผู้ที่มีอาการแพ้ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือสารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ จะมีการสะสมของสารเหล่านี้ในโพรงจมูก การล้างจมูกจะช่วยขจัดสารก่อภูมิแพ้ออกจากโพรงจมูก ทำให้อาการคัดจมูก จาม น้ำมูกไหลลดลง และรู้สึกสบายขึ้น ผู้ที่เป็นโรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis) ไซนัสอักเสบเป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุโพรงไซนัสโพรงอากาศข้างจมูเกิดการอักเสบบวมจากการติดเชื้อ การล้างจมูกสามารถขจัดน้ำมูกที่สะสมในโพรงจมูกและไซนัส ซึ่งช่วยลดการอักเสบและช่วยระบายของเสียออกจากโพรงไซนัส ทำให้หายใจสะดวกขึ้น ผู้ที่เป็นโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ การล้างจมูกสามารถลดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือความอุดตันในโพรงจมูกที่มักเกิดขึ้นเมื่อเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ได้ ด้วยการขจัดเอาเชื้อโรคและเมือกที่เป็นแหล่งสะสมออกไป ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองมาก สำหรับผู้ที่อาศัยหรือทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองหรือมลพิษทางอากาศ การล้างจมูกจะช่วยขจัดฝุ่นหรือสารมลพิษที่เข้าไปสะสมในโพรงจมูก ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการระคายเคืองหรืออักเสบในระบบทางเดินหายใจ ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดทางจมูก ผู้ที่เพิ่งได้รับการผ่าตัดทางจมูก เช่น การผ่าตัดไซนัสหรือการผ่าตัดเนื้องอกในจมูก แพทย์อาจแนะนำให้ล้างจมูกเพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและป้องกันการติดเชื้อหรือน้ำมูกสะสม ผู้ที่มีปัญหาการนอนกรนหรือนอนหลับไม่สนิท บางคนที่มีปัญหานอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับอาจมีสาเหตุมาจากการอุดตันของทางเดินหายใจส่วนบน การล้างจมูกช่วยทำความสะอาดทางเดินหายใจและลดการอุดตัน ทำให้หายใจได้ดีขึ้นขณะนอนหลับ ผู้ที่มีอาการแห้งในโพรงจมูก ผู้ที่อยู่ในสภาพอากาศที่แห้งหรือใช้เครื่องปรับอากาศเป็นประจำ มักมีปัญหาเรื่องจมูกแห้งหรือเยื่อบุจมูกแห้ง การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและป้องกันการระคายเคืองในโพรงจมูก ผู้ที่มีอาการหายใจลำบาก บุคคลทั่วไปที่มีปัญหาการหายใจไม่สะดวก ไม่ว่าจะมีอาการคัดจมูกเรื้อรัง ป่วยเป็นหวัด หรือเป็นโรคหอบหืด ต่างได้รับประโยชน์จากการล้างจมูกทั้งสิ้น เพราะการล้างจมูกที่ถูกวิธีจะช่วยลดการอุดตันและเพิ่มการไหลเวียนของอากาศในโพรงจมูก ช่วยให้สามารถหายใจได้คล่องขึ้น อุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการล้างจมูก น้ำเกลือล้างจมูก การล้างจมูกที่ดีต่อสุขภาพ ควรต้องล้างด้วยน้ำเกลือที่ปราศจากเชื้อ Isotonic sterile Saline Solution หรือสามารถทำน้ำเกลือเองได้ด้วยการผสมน้ำต้มสุก (ที่ปล่อยให้เย็น) กับเกลือบริสุทธิ์ (ไม่เจือสารอื่น) ในอัตราส่วนที่เหมาะสม (น้ำเกลือ 0.9 เปอร์เซ็นต์ Sodium Chloride)หรือ isotonic  เนื่องจากน้ำเกลือจะช่วยล้างเมือกและสิ่งสกปรกออกจากโพรงจมูกโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุโพรงจมูก ต่างกับน้ำเปล่าที่เพียงแค่ชะล้างสิ่งสกปรกบางส่วนออกไปเท่านั้น ขวดล้างจมูก ขวดล้างจมูกเป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ล้างจมูกโดยเฉพาะ ซึ่งมีหัวจุกสำหรับปล่อยน้ำเกลือเข้าสู่โพรงจมูกได้ง่ายและแม่นยำ เช่น ขวดไซริงค์ หรืออุปกรณ์ล้างจมูกที่ใช้แรงดันอ่อน ๆ เป็นต้น ขั้นตอนการล้างจมูกที่ถูกต้อง เริ่มจากการล้างมือและขวดล้างจมูกให้สะอาด เทน้ำเกลือสำหรับล้างจมูกลงในขวดล้าง ประมาณ 10 ถึง 15 มิลลิลิตร สำหรับผู้ใหญ่ และปริมาณ 5 มิลลิลิตร สำหรับเด็ก จากนั้นให้โน้มตัวเหนืออ่างล้างหน้า ก้มหน้า สอดจุกจากขวดล้างเข้าไปในรูจมูกเล็กน้อย และค่อย ๆ ฉีดพ่นน้ำเกลือเข้ารูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง (กลั้นหายใจในขณะล้างจมูก) ซึ่งน้ำเกลือและสิ่งอุดตันในจมูกจะไหลออกจากรูจมูกทั้ง 2 ข้าง สั่งน้ำมูกที่ค้างอยู่ออกเบา ๆ บางคนอาจมีน้ำเกลือบางส่วนไหลออกมาทางปากให้บ้วนทิ้งด้วย ล้างจมูกด้วยวิธีเดิมในจมูกอีกข้างหนึ่ง และทำซ้ำสลับทั้งสองข้างจนรู้สึกหายใจโล่งขึ้น เมื่อล้างจมูกเสร็จแล้ว อย่าลืมล้างอุปกรณ์ทำความสะอาดทุกชิ้นด้วยน้ำเปล่าและผึ่งให้แห้ง การล้างจมูกมีอันตรายหรือไม่? การล้างจมูกสามารถทำได้อย่างปลอดภัยและมีประโยชน์หากปฏิบัติอย่างถูกต้อง แต่หากทำไม่ถูกวิธีหรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด อาจเกิดความเสี่ยงหรือมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพร่างกายได้เหมือนกัน ดังนี้ การติดเชื้อ: หากใช้น้ำที่ไม่สะอาดหรือน้ำประปาที่ไม่ผ่านการกรองหรือฆ่าเชื้อล้างจมูก อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในโพรงจมูกหรือไซนัส เนื่องจากเชื้อโรคในน้ำอาจเข้าสู่ร่างกาย การทำให้จมูกแห้งเกินไป: การล้างจมูกบ่อยเกินไปหรือใช้สารละลายที่มีความเข้มข้นไม่เหมาะสม เช่น สารละลายเกลือที่มีความเข้มข้นสูง อาจทำให้โพรงจมูกแห้งและเกิดการระคายเคือง อาการระคายเคืองหรือเจ็บในโพรงจมูก: การใช้อุปกรณ์ล้างจมูกที่อยู่ในกลุ่มแรงดันสูง ซึ่งในบ้างครั้งจะเกิดแรงดันสูงเกินไป หรืออุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมในการล้างจมูกอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือบาดเจ็บในโพรงจมูกได้ น้ำเข้าหูชั้นกลาง: หากล้างจมูกด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง และใช้อุปกรณ์ล้างจมูกกลุ่มแรงดันสูง อาจทำให้น้ำซึมเข้าหูชั้นกลางผ่านท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือหูอื้อได้ ข้อควรระมัดระวังเมื่อล้างจมูก 1.ใช้น้ำเกลือที่ปราศจากเชื้อ น้ำเกลือ: ควรใช้น้ำเกลือ Sodium Chloride 0.9 เปอร์เซ็นต์ ชนิดปราศจากเชื้อเท่านั้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนและไม่ระคายเคืองโพรงจมูก หลีกเลี่ยงน้ำเปล่า: ห้ามใช้น้ำประปาหรือสารละลายอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับการแนะนำ เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการสำลักหรือแสบโพรงจมูก 2.ความดันน้ำเกลือ ไม่ควรฉีดที่ทำให้เกิดแรงดันสูง: ควรระมัดระวังไม่ให้ฉีดน้ำเกลือด้วยแรงมาก เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในโพรงจมูกหรือทำให้โพรงจมูกอักเสบได้ ควรฉีดที่ทำให้เกิดแรงดันน้อย: การฉีดน้ำเกลือควรทำอย่างช้า ๆ เพื่อให้กระบวนการล้างจมูกเป็นไปอย่างเรียบร้อยและปลอดภัย 3.วิธีการสั่งน้ำมูก สั่งน้ำมูกเบาๆ: ควรสั่งน้ำมูกและเช็ดจมูกเบา ๆ เพราะการสั่งน้ำมูกแรง ๆ อาจทำให้เกิดอาการหูอื้อหรือหูอักเสบได้ ไม่ควรอุดรูจมูก: ในขณะที่สั่งน้ำมูก ไม่ควรอุดรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง ควรสั่งพร้อมกันทั้งสองข้างเพื่อป้องกันการเกิดความดันในหู 4.การใช้ยาพ่นหลังจากล้างจมูก รอให้แห้ง: หากต้องการใช้ยาพ่นหลังจากล้างจมูก ควรรอให้โพรงจมูกแห้งก่อนอย่างน้อย 3 ถึง 5 นาที เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นและลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียง 5.ความถี่ในการล้างจมูก ไม่ควรล้างบ่อยเกินไป: การล้างจมูกสามารถทำได้ตามความจำเป็น แต่ไม่ควรทำบ่อยเกินไป โดยทั่วไปแล้วสามารถทำได้วันละ 2 ถึง 3 ครั้งเมื่อมีอาการคัดจมูกหรือรู้สึกไม่สบาย ฟังเสียงร่างกาย: หากรู้สึกไม่สบายหรือมีอาการผิดปกติหลังจากการล้างจมูก ควรหยุดและปรึกษาแพทย์   ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.sikarin.com/health/nasal-irrigation
อ่านเพิ่มเติม